เจ้าตู้เย็น โรเมลู ลูกากู (Romelu Menama Lukaku Bolingoli)

เจ้าตู้เย็น โรเมลู ลูกากู

โรเมลู เมนามา ลูกากู โบลินโกลิ เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1993 เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวเบลเยียม ตำแหน่งกองหน้าลงเล่นให้กับสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในอังกฤษ และทีมชาติเบลเยียม

ลูกากู เกิดที่เมืองอันท์เวิร์ป เขาเริ่มต้นเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรในเบลเจียนโปรลีกอย่าง อันเดอร์เลชต์ ในปี 2009 ในขณะที่อายุเพียง 16 ปี และจบฤดูกาลแรกของเขาด้วยการเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในลีกและชนะเลิศในรายการนั้น เขายังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องในปีถัดมา และได้รับรางวัลรองเท้าอีโบนี (Belgian Ebony Shoe) ลูกากู ย้ายไปอังกฤษเพื่อเล่นให้กับ เชลซี สโมสรในพรีเมียร์ลีก ในปี 2011 ด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ (12 ล้านยูโร)

ลูกากู ไม่ค่อยได้ลงสนามมากนักในฤดูกาลแรกกับ เชลซี ทำให้เขาถูกยืมไปเล่นให้กับสโมสรในลีกเดียวกันอย่าง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในปี 2012 เมื่อย้ายไปเล่นให้กับ เวสต์บรอม ลูกากู ทำผลงานได้โดดเด่นมาก เขายิงไป 17 ประตู และพาทีมไปจบที่อันดับ 8 ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ไม่มีการต่อสัญญาในปี 2013 ลูกากู จึงย้ายไป เอฟเวอร์ตัน ด้วยสัญญายืมตัวอีกครั้งและจบฤดูกาลด้วยการยิงไป 15 ประตู เขาก็ถูกดึงตัวมาร่วมทีมแบบถาวรด้วยค่าตัวเป็นสถิติสโมสร 28 ล้านปอนด์ (28 ล้านยูโร) ในปี 2014

หลังจากทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในถิ่นเมอร์ซีย์ไซด์ตลอดสามฤดูกาล รวมถึงการติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA ปี 2016-17 ลูกากู เซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2017 ด้วยค่าตัวเริ่มต้น 75 ล้านปอนด์ การย้ายตัวครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลเบลเยียมที่มีค่าตัวสูงสุดตลอดกาล

ลูกากู เล่นให้กับทีมชาติเบลเยียมไปแล้วกว่า 79 เกม และยิงไป 45 ประตู ทำให้เขาเป็นผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของเบลเยียม ลูกากู ลงเตะให้ทีมชาติครั้งแรกเมื่อเขาอายุ 17 ปี ในปี 2010 โดยลงเล่นในสามทัวร์นาเมนต์หลัก ได้แก่ ฟุตบอลโลก 2 ครั้ง และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1 ครั้ง ลูกากู พาเบลเยียมไปจบที่ 3 ในฟุตบอลโลกปี 2018 ในฐานะผู้ทำประตูสูงสุดเป็นอันดับที่สองและได้รางวัลบรอนซ์บูท (Bronze Boot)

เส้นทางอาชีพ

เริ่มต้นอาชีพ

ลูกากู เล่นให้กับทีมท้องถิ่น รูเปล บูม เมื่ออายุ 5 ขวบ หลังเล่นไปได้ 4 ฤดูกาล ก็ถูกชักชวนจากแมวมองจาก ลีร์เซ สโมสรในเบลเจียนโปรลีกที่มีระบบอะคาเดมี่ เขาเล่นให้กับ ลีร์เซ ตั้งแต่ปี 2004 ถึงปี 2006 โดยทำไปได้ทั้งสิ้น 121 ประตู จากการลงสนาม 68 นัด หลังจากที่ ลีร์เซ ตกชั้นจากเบลเจียนโปรลีก อันเดอร์เลชท์ ได้ซื้อ 13 นักเตะเยาวชนจาก ลีร์เซ ในช่วงกลางฤดูกาล 2006 รวมถึง ลูกากู ด้วย เขาเตะให้ อันเดอร์เลชท์ ในฐานะนักเตะเยาวชนมากกว่า 3 ปี และทำได้ 131 ประตู จากการลงสนาม 93 นัด

อันเดอร์เลชท์

เมื่อ ลูกากู อายุได้ 16 ปี ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2009 เขาได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับ อันเดอร์เลชท์ จนถึงปี 2012 หลังจากนั้น 11 วัน เขามีโอกาสประเดิมสนามในเบลเจียนโปรลีกครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2009 ในรอบเพลย์ออฟเจอกับ สตองดาร์ด ลีแอช ด้วยการเป็นตัวสำรองลงไปในนาทีที่ 69 แทน วิคตอร์ แบร์นานเดซ กองหลังของทีม โดยในนัดนั้น อันเดอร์เลชท์ แพ้ไป 1-0 ลูกากู กลายเป็นสมาชิกขาประจำในทีมชุดใหญ่ของ อันเดอร์เลชท์ ในฤดูกาล 2009-10 และทำประตูแรกได้ในนัดที่เจอกับ ซูลเต้ วาเรเกม ในนาทีที่ 89 หลังจากเป็นตัวสำรองลงเล่นไปแทน กานู เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2009 “หลังจากทำประตูได้ ผมรู้สึกเหมือนได้แหวกว่ายในมหาสมุทรแห่งความสุข” เขาบอกกับ เบเรนด์ โชล์เติล จาก UEFA.com “คุณคิดว่าคุณกำลังบินแล้วก็สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ได้เลย” จากนั้นเขาจบฤดูกาลด้วยการเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในโปรลีก จากการยิงไป 15 ประตู และช่วยให้ อันเดอร์เลชท์ คว้าแชมป์ลีกเบลเยียมเป็นครั้งที่ 30 นอกจากนี้เขายังทำไปอีก 4 ประตูพา อันเดอร์เลชท์ ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในยูฟ่า ยูโรปาลีก ฤดูกาล 2009-10 ขณะที่ในระหว่างฤดูกาล 2010-11 ลูกากูยิงไป 20 ประตูในทุกรายการ แต่ไม่สามารถช่วย อันเดอร์เลชท์ รักษาแชมป์เอาไว้ได้ แม้จะจบด้วยการเป็นอันดับหนึ่งในตารางระหว่างฤดูกาลปกติก็ตาม

เริ่มต้นอาชีพ ลูกากู

เชลซี

ในเดือนสิงหาคม 2011 ลูกากู ย้ายมาร่วมทีม เชลซี สโมสรในพรีเมียร์ลีกด้วยค่าตัวที่ถูกรายงานออกมาว่าประมาณ 12 ล้านยูโร (10 ล้านปอนด์) และถูกเพิ่มเติมเป็น 20 ล้านยูโร (17 ล้านปอนด์) ในภายหลัง ลูกากู ได้รับเสื้อหมายเลข 18 และเซ็นสัญญายาวเป็นระยะเวลา 5 ปี เขาลงสนามนัดแรกในเกมที่เปิดบ้านพบ นอริช ซิตี้ โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทน เฟอร์นานโด ตอร์เรส ในนาทีที่ 83

ลูกากู ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงครั้งแรกในเกมลีก คัพ พบกับ ฟูแล่ม และเอาชนะไปด้วยการดวลลูกโทษ แต่ในฤดูกาลนี้เขามักใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเล่นให้กับทีมสำรอง และได้เป็นตัวจริงลงเล่นในพรีเมียร์ลีกครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2012 ในเกมพบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และเป็นแมนออฟเดอะแมตช์ในเกมดังกล่าว จากการแอสซิสต์ให้ จอห์น เทอร์รี่ ทำประตูขึ้นนำ อย่างไรก็ตาม ลูกากู กลับรู้สึกผิดหวังกับการมีส่วนร่วมกับทีมของเขาในซีซั่นแรก แม้ว่าหลังจากที่สโมสรชนะเลิศในรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม เขาปฏิเสธที่จะชูถ้วยรางวัล เพราะรู้สึกเหมือนเขาไม่ใช่ผู้ชนะ

เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน (สัญญายืมตัว)

หลังจากมีข่าวว่า ฟูแล่ม จะขอยืมตัว ลูกากู แต่ในวันที่ 10 สิงหาคม 2012 เขาได้ย้ายไป เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ด้วยสัญญายืมตัวเป็นเวลา 1 ฤดูกาล เขาทำประตูแรกในเกมลีกได้ในอีก 8 วันต่อมา โดยเป็นตัวสำรองถูกเปลี่ยนลงมาในนาทีที่ 77 ในเกมที่ชนะ ลิเวอร์พูล 3-0 และลงเล่นเป็นตัวจริงครั้งแรกในเกมที่เอาชนะ เร้ดดิ้ง ที่สนามเดอะ ฮอว์ธอร์นส์ โดยเขาไปทำได้ 1 ประตูและเป็นเพียงประตูเดียวที่เกิดขึ้นในเกมนั้น จากนั้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน ลูกากู ถูกเปลี่ยนลงสนามในนาทีที่ 70 แทน เชน ลอง และทำประตูได้จากลูกจุดโทษและยังแอสซิสต์ให้ มาร์ค-อองตวน ฟอร์ตูเน่ อีกด้วย โดยนัดนี้ เวสต์บรอม บุกเอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ ได้ 4-2 ที่สนามสเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ โดยชัยชนะครั้งนี้ทำให้ เวสต์บรอม ชนะติดกัน 4 นัด ในการแข่งขันลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1980 ต่อมาวันที่ 12 มกราคม 2013 ที่เขาทำได้มากกว่า 1 ลูกในเกมเดียวเป็นครั้งแรก ในพรีเมียร์ลีกนัดที่พบกับ เร้ดดิ้ง และทำให้ เวสต์บรอม ออกนำไปก่อน 0-2 ก่อนที่ เร้ดดิ้ง จะพลิกกลับมาเอาชนะไป 3-2 ที่สนามมาเดสกี้ สเตเดี้ยม ในเวลาต่อมาแม้ เดลี่เมล์ สื่อของอังกฤษจะมีรายงานว่าเขาอยากจะอยู่กับ เวสต์บรอม ต่อไปอีกหนึ่งปี แต่ ลูกากู ก็ยืนยันว่าเขายังคงหวังที่จะได้กลับไปเป็นตำนานที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ขณะที่ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ลูกากู ลงเป็นตัวสำรองและทำประตูที่ 10 ในพรีเมียร์ลีกของฤดูกาลนี้ ในนัดที่เจอกับ ลิเวอร์พูล และจบเกมด้วยชัยชนะ 2-0

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ลูกากู ยิงได้ 2 ประตูอีกครั้งในเกมที่เปิดบ้านเอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 2-1 จากนั้นในวันที่ 9 มีนาคม ในนัดที่พบกับ สวอนซี ซิตี้ ลูกากู ยิงลูกตีเสมอก่อนที่จะสังหารลูกจุดโทษไปติดเซฟ แต่ท้ายที่สุด เวสต์บรอม ก็สามารถเอาชนะไปได้จากการที่ โจนาธาน เดอ กุซมาน ทำเข้าประตูตัวเอง ต่อมาในวันที่ 19 พฤษภาคม หลังจากถูกเปลี่ยนลงในครึ่งเวลาหลัง ลูกากู ทำแฮตทริกได้ และช่วยให้ เวสต์บรอม ที่ตามหลังอยู่ 3 ประตูกลับมาตีเสมอได้ด้วยสกอร์ 5-5 ในเกมในบ้านนัดสุดท้ายของซีซั่นที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นเกมที่ 1500 และเกมนัดสุดท้ายของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในการคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และยังเป็นการเสมอกันที่มีสกอร์สูงสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกอีกด้วย แม้ว่าจะถูกปล่อยยืมตัว แต่ ลูกากู ก็สามารถทำประตูได้มากกว่าเพื่อนร่วมทีม เชลซี ทั้งหมดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนั้น และยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดอันดับที่ 6 ในฤดูกาล 2012-13 ด้วยการทำไปทั้งหมด 17 ประตู ลูกากู ลงสนามในพรีเมียร์ลีกให้ เชลซี 2 นัดแรกของฤดูกาล 2013-2014 และยังได้ลงเป็นตัวสำรองในยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2013 อีกด้วย แต่ในเกมดังกล่าว เขาพลาดในการยิงลูกโทษซึ่ง มานูเอล นอยเออร์ ป้องกันไว้ได้ ทำให้ เชลซี แพ้ให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ในนัดนั้น

ลูกากู ถูกยืมตัวมา เอฟเวอร์ตัน

เอฟเวอร์ตัน

ฤดูกาล 13-14 (สัญญายืมตัว)

ในวันสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ปี 2013 ลูกากู ถูกยืมตัวมา เอฟเวอร์ตัน เป็นเวลา 1 ปี เขาลงประเดิมให้ทีมครั้งแรกในเกมที่บุกไปพบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2013 และเขาเป็นผู้ทำประตูชัยชนะช่วยให้ เอฟเวอร์ตัน ชนะไปด้วยสกอร์ 3-2 และในระหว่างที่เขาโหม่งทำประตู เขาไปชนกับกองหลังของ เวสต์แฮม และถูกนำตัวออกจากสนามเพื่อตรวจดูอาการ และนักกายภาพได้บอกกับเขาภายหลังว่าเขาทำประตูชัยให้กับทีมได้ ในเก้าวันต่อมาเขาทำได้อีกสองประตูในการลงเล่นบ้านเป็นครั้งแรก ในนัดที่เอาชนะ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ไป 3-2 และยังแอสซิสต์ให้ รอส บาร์คลีย์ อีกด้วย หลังจากนั้นเขาก็ทำประตูขึ้นนำได้ในเกมต่อมาที่เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปด้วยสกอร์ 3-1 เขายังคงออกสตาร์ทได้ดีอย่างต่อเนื่องด้วยการทำประตูขึ้นนำอีกครั้งในนัดที่เอาชนะ แอสตัน วิลล่า ไป 2-0 และทำไปอีก 2 ประตูในเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้แมตช์แรกของฤดูกาล ทำให้ เอฟเวอร์ตัน เสมอกับ ลิเวอร์พูล 3-3 ซึ่ง ลูกากู ได้กล่าวในภายหลังว่า มันคือประสบการณ์ที่ดีที่สุดที่เขามีในชีวิตนักเตะช่วงสั้นๆของเขา

ในเดือนมกราคม 2014 ลูกากู ถูกเสนอชื่อโดยเดอะ การ์เดี้ยน ให้เป็นหนึ่งในสิบนักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามองในยุโรป แต่ต่อมาในเดือนนั้นเองเขาก็ถูกหามออกจากสนามอีกครั้งหลังได้รับอาการบาดเจ็บที่เอ็นข้อเท้า จากการที่ แกเร็ธ แบร์รี่ ลื่นและไถลไปเสียบเขา ในขณะเขาพยายามที่จะป้องกันลูกยิงของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ซึ่งประตูแรกของเกมในเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้แมตช์ หลังจากหายจากอาการบาดเจ็บ ลูกากู กลับมาลงเล่นอีกครั้งในเกมกับ เวสต์แฮม ในเดือนมีนาคม 2014 และทำประตูชัยในนาทีที่ 81 หลังจากถูกเปลี่ยนลงมาในครึ่งเวลาหลัง ต่อมาวันที่ 6 เมษายน เขายิงได้ 1 ประตูและอีก 1 แอสซิสต์ เอาชนะ อาร์เซน่อล ไป 3-0 ที่กูดิสัน พาร์ค และยังเป็นการทำสถิติชนะติดกันหกเกมรวดในพรีเมียร์ลีก ขณะที่ประตูสุดท้ายของเขาในช่วงเวลาที่ถูกยืมตัวเกิดขึ้นในวันสุดท้ายของฤดูกาล โดยเขาเป็นผู้ทำประตูที่สองให้ทีมเอาชนะ ฮัลล์ ซิตี้ ไป 2-0 ทำให้จบฤดูกาล ลูกากู ยิงไปทั้งสิ้น 15 ลูกจาก 31 นัดในเกมลีก และช่วยให้ เอฟเวอร์ตัน ไปจบที่ 5 ด้วยคะแนน 72 แต้มซึ่งสูงสุดเป็นสถิติสโมสร

ฤดูกาล 2014-16

ลูกากู เซ็นสัญญา 5 ปีกับ เอฟเวอร์ตัน ในเดือนกรกฎาคม 2014 ด้วยค่าตัว 28 ล้านปอนด์ ซึ่งสูงสุดเป็นสถิติสโมสร และได้รับเสื้อเบอร์ 10 เขายิงประตูแรกหลังจากย้ายมาเล่นอย่างถาวรในวันที่ 13 กันยายน เจอกับต้นสังกัดเก่าอย่าง เวสต์บรอม ซึ่ง ลูกากู ไม่ได้แสดงอาการดีใจหลังจากที่ทำประตูได้ ทำให้เขาได้รับคำชื่นชมจากแฟนของ เวสต์บรอม เองในการให้ความเคารพต่อทีมเก่าของเขา ต่อมาวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2015 ลูกากู ทำแฮตทริกแรกหลังจากย้ายมาอยู่ เอฟเวอร์ตัน ในเกมที่ชนะ ยัง บอยส์ เบิร์น ไป 4-1 ในยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย โดยเป็นการทำประตูด้วยการโหม่ง ยิงด้วยเท้าขวาและเท้าซ้าย และเขายังทำอีก 2 ประตู ในเกมนัดที่สองที่เอาชนะไป 3-1 ในอีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา โดยในตลอดฤดูกาลของรายการยุโรป ลูกากู ทำได้ทั้งสิ้น 8 ประตู ทำให้เขากลายเป็นดาวซัลโวในทัวร์นาเมนต์ร่วมกันกับ อลัน จากสโมสร เร้ดบูล ซัลซ์บวร์ก

ในเกมที่สองของพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2015-16 ลูกากู ทำได้ 2 ประตูในครึ่งแรก ในเกมที่ เอฟเวอร์ตัน บุกชนะ เซาแธมป์ตัน ไป 0-3 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2015 โดยก่อนเกมนี้เขาได้มอบเสื้อยืดให้แก่แฟน เซาแธมป์ตัน หลังโดนบอลอัดจากการซ้อมยิงของเขาในช่วงก่อนเกม จากนั้นวันที่ 26 สิงหาคม เขาทำอีก 1 ลูกในลีก คัพเกมที่เอาชนะ บาร์นสลีย์ ด้วยสกอร์ 5-3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ต่อมาวันที่ 28 กันยายน ลูกากู ทำไป 2 ประตู และอีก 1 แอสซิสต์ ช่วยให้ทีมที่กำลังจะแพ้ไป 0-2 กลับมาชนะ 2-3 และในสัปดาห์ต่อมายังทำอีก 1 ประตูในเกมที่เสมอกับ ลิเวอร์พูล ไป 1-1 ที่กูดิสันพาร์ค ขณะที่ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ลูกากู ทำได้ 2 ประตูในเกมที่เอาชนะ แอสตัน วิลล่า ไป 4-0 ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยกว่า 23 ปีคนที่ห้า ที่ทำประตูได้อย่างน้อย 50 ประตูในพรีเมียร์ลีก หลังจากที่ ร็อบบี ฟาวเลอร์, ไมเคิล โอเว่น, เวย์น รูนี่ย์, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เคยทำได้มาก่อน และในวันที่ 7 ธันวาคม ลูกากู ยิงจ่อๆหน้าประตู ช่วยให้ทีมเสมอ กับ คริสตัล พาเลซ 1-1 และยังเป็นประตูที่ 50 จากการลงเล่น 100 เกมในทุกรายการให้กับ เอฟเวอร์ตัน หลังจากนั้นในวันที่ 12 ธันวาคม ลูกากู กลายเป็นนักเตะ เอฟเวอร์ตัน คนแรกที่ยิงประตูได้ 6 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก และเป็นคนแรกที่ยิงประตูได้ 7 นัดติดต่อกันในทุกรายการ หลังจากที่ บ็อบ ลาทช์ฟอร์ด เคยทำได้เมื่อ 40 ปีที่แล้ว จากการยิง 1 ประตูในเกมที่เสมอกับ นอริช ซิตี้ ที่แคโรว์ โร้ด และในเกมถัดมาที่เอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ ไปด้วยสกอร์ 3-2 ลูกากู กลายเป็นนักเตะ เอฟเวอร์ตัน คนแรกที่ทำประตูได้ 8 นัดติดต่อกัน หลังจากที่ เดฟ ฮิกสัน เคยทำได้ในปี 1954

ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2016 ลูกากู ยิงประตูที่ 20 ของฤดูกาล ในนัดที่เอาชนะ สโต๊ค ซิตี้ ไป 0-3 ทำให้เขาเป็นนักเตะ เอฟเวอร์ตัน คนแรกนับตั้งแต่ แเกรม ชาร์ป ที่ยิงไปอย่างน้อย 20 ประตูในการแข่งขันทุกรายการต่อหนึ่งฤดูกาลให้กับ เอฟเวอร์ตัน โดยประตูดังกล่าวยังเป็นประตูที่ 16 ในเกมลีกฤดูกาลนั้นด้วย ซึ่งเท่ากับการยิงประตูในพรีเมียร์ลีกของนักเตะ เอฟเวอร์ตัน ที่มีการบันทึกเอาไว้อย่าง โทนี่ ค็อตตี้ และ อังเดร แคนเชลสกี้ส์ ช่วงกลางทศวรรษ 1990 ตามมาด้วยประตูที่ 21 ของฤดูกาล จากการทำอีก 1 ลูกในเกมที่เอาชนะ บอร์นมัธ ที่สนาม ดีน คอร์ต ไป 0-2 ซึ่งชัยชนะครั้งนี้ทำให้ เอฟเวอร์ตัน เข้าไปสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายของเอฟเอ คัพ และยังเท่ากับจำนวนประตูที่ ยาคูบู ทำได้ในทุกรายการให้กับ เอฟเวอร์ตัน ในฤดูกาล 2007-08 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดสำหรับ เอฟเวอร์ตัน ในพรีเมียร์ลีกอีกด้วย ต่อมาในวันที่ 1 มีนาคม ลูกากู ทำประตูที่ 17 ในเกมลีกและเป็นสถิติใหม่ของ เอฟเวอร์ตัน ในยุคพรีเมียร์ลีก พาทีมเอาชนะ แอสตัน วิลล่า ที่สนามวิลลา พาร์ค ไป 1-3 และยังเป็นจำนวนประตูที่เขาทำได้เท่ากับเมื่อครั้งที่เขาถูกยืมไป เวสต์บรอม ในฤดูกาล 2012-13 อีกด้วย

ลูกากู ทำประตูแรกของฤดูกาล

ฤดูกาล 2016-17

วันที่ 12 กันยายน 2016 ลูกากู ทำประตูแรกของฤดูกาล 2016-17 ด้วยการทำแฮตทริกในนัดที่เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ ไป 3-0 ที่สนามสเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ โดยเขาใช้เวลายิงประตูทั้งหมดเพียง 11 นาที 37 วินาที ทำให้กลายเป็นแฮตทริกที่เร็วที่สุดลำดับที่ 12 ในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก ขณะที่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2017 ลูกากู ทำ 4 ประตูในเกมที่เอาชนะ บอร์นมัธ ไป 6-3 ที่กูดิสันพาร์ค โดยประตูแรกที่เขาทำได้เป็นประตูที่เร็วที่สุดในพรีเมียร์ลีกของ เอฟเวอร์ตัน อีกด้วย และยังเป็นแฮตทริกครั้งที่ 300 ที่เกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีกอีกด้วย ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2017 ลูกากู ทำประตูได้เท่ากับสถิติสโมสรที่ดันแคน เฟอร์กูสัน เคยทำได้ ด้วยการยิงลูกที่ 60 ในพรีเมียร์ลีก ในเกมที่เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 2-0 ที่กูดิสัน พาร์ค และในวันที่ 5 มีนาคม เขาทำลายสถิติของ เฟอร์กูสัน ด้วยการยิงประตูในเกมที่บุกไปแพ้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 3-2 ที่สนามไวท์ ฮาร์ท เลน ส่วนในเดือนถัดมา ในเกมที่เปิดบ้านเอาชนะ เวสต์บรอม 3-0 ลูกากู ทำประตูได้และกลายเป็นนักเตะ เอฟเวอร์ตัน คนแรกนับตั้งแต่ บ็อบ ลาทช์ฟอร์ด ที่สามารถทำ 20 ประตูหรือมากกว่าในการลงเล่นทุกรายการถึงสามฤดูกาลติดกัน และอีกหนึ่งอาทิตย์ถัดมา ในเกมที่เอาชนะ ฮัลล์ ซิตี้ ไป 4-0 เขาทำ 2 ประตู ส่งผลให้เขายิงได้ 21 ประตูในฤดูกาลนี้ และกลายเป็นนักเตะ เอฟเวอร์ตัน คนแรกนับตั้งแต่ แกรี่ ลินิเกอร์ ทำได้ 20 ประตูในหนึ่งฤดูกาลเมื่อ 31 ปีก่อน รวมทั้งเป็นนักเตะคนที่ 4 และนักเตะต่างชาติคนแรกที่ทำประตูในพรีเมียร์ลีกได้ถึง 80 ประตูก่อนอายุ 24 ปี

ในเดือนมีนาคม 2017 ลูกากู ปฏิเสธที่จะต่อสัญญาฉบับใหม่อีก 5 ปี พร้อมรับค่าเหนื่อยอีก 140,000 ปอนต์ต่อสัปดาห์ ท่ามกลางข่าวลือว่าเขาจะย้ายกลับไป เชลซี โดยในการสัมภาษณ์ เขาตั้งคำถามกับผู้จัดการทีม โรนัลด์ คูมัน เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของสโมสร ทั้งเรื่องการซื้อตัวนักเตะบิ๊กเนมและการที่จะได้ไปเล่นในรายการแชมเปี้ยนส์ลีก จากนั้นเขาทำประตูได้ในเกมที่ เอฟเวอร์ตัน เอาชนะ เบิร์นลี่ย์ ไป 3-1 ในวันที่ 15 เมษายน ทำให้เขาเป็นนักเตะ เอฟเวอร์ตัน คนแรกนับตั้งแต่ บ็อบ ลาทช์ฟอร์ด ที่ยิงได้ถึง 25 ประตูในสองฤดูกาลติดกันในทุกรายการ และเป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่นักเตะระดับตำนานอย่าง ดิ๊กซี่ ดีน ที่สามารถทำประตูได้ 9 นัดติดต่อกันในกูดิสัน พาร์ค และในวันที่ 20 เมษายน 2017 ลูกากู ติดมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA เป็นครั้งแรก และยังติดหนึ่งใน 6 นักเตะที่ถูกเสนอชื่อให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA และนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA อีกด้วย

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ลูกากู ย้ายมาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2017 ด้วยการเซ็นสัญญายาว 5 ปีพร้อมออปชั่นการขยายออกไปอีก 1 ปี แม้ว่าค่าตัวจะไม่ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่ก็ถูกรายงานออกมาว่าเป็นจำนวนเงินเริ่มต้นที่ 75 ล้านปอนด์ และมีเพิ่มเติมอีก 15 ล้านปอนด์ ลูกากู เซ็นสัญญาในวันรุ่งขึ้น หลังจากอดีตกัปตันของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง เวย์น รูนี่ย์ ย้ายกลับไป เอฟเวอร์ตัน ซึ่ง รูนี่ย์ เคยเล่นด้วยตอนเป็นนักเตะเยาวชน และก่อนเปิดฤดูกาล 2017-18 ลูกากู ได้ขอ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช สวมเสื้อเบอร์ 9 ต่อจากเขา และได้รับเบอร์เสื้ออย่างเป็นทางการในวันที่ 14 กรกฎาคม

เขาลงสนามให้กับทีมใหม่ครั้งแรกเกมที่พบกับ เรอัล มาดริด วันที่ 8 สิงหาคม 2017 ในยูฟ่าซูเปอร์ คัพ และยิงประตูแรกได้ทันที แม้จบจะพ่ายต่อเกม เรอัล มาดริด ไป 2-1 ขณะที่การประเดิมสนามเกมลีกครั้งแรกของเขาเกิดขึ้นใน 5 วันต่อมา โดยเขาทำไป 2 ประตู ในนัดที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านเอาชนะ เวสต์แฮม ไป 4-0 ทำให้เขาเป็นนักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนที่สี่ที่ยิงให้ทีมได้ 2 ประตูในการประเดิมนัดแรกในพรีเมียร์ลีก และในวันที่ 17 กันยายน เขายิงลูกที่สามของทีมได้ในเกมที่เอาชนะทีมเก่าอย่าง เอฟเวอร์ตัน ไป 4-0 และฉลองการทำประตูด้วยการวิ่งไปที่ฝั่งแฟนบอลของ เอฟเวอร์ตัน แล้วทำท่าเงี่ยหูฟัง เพื่อตอบโต้จากการโดนโห่ตลอดทั้งเกม จากนั้นวันที่ 27 กันยายน ลูกากู ทำ 2 ประตูในเกมที่เอาชนะ ซีเอสเคเอ มอสโก ไป 4-1 ในยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้ตอนนี้เขายิงไป 10 ประตูจากการลงเล่น 9 นัดแรกให้กับทีม และสามารถทำลายสถิติที่ เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน เคยทำไว้ 9 ประตู จากการลงเล่นให้ทีม 9 นัดแรกอีกด้วย และในเกมที่เอาชนะต้นสังกัดเก่าอย่าง เชลซี ไป 2-1 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2018 ลูกากู เป็นคนยิงตีเสมอและทำแอสซิสต์ในประตูชัยชนะของ เจสซี่ ลินการ์ด อีกด้วย เขาทำประตูที่ 200 ให้สโมสรและทีมจากประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในเกมที่บุกไปชนะ เซบีย่า แม้ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายก็ตาม ต่อมาวันที่ 31 มีนาคม 2018 ลูกากู ทำประตูออกนำในเกมที่เปิดบ้านเอาชนะ สวอนซี ไป 2-0 และเป็นประตูที่ 100 ของเขาในพรีเมียร์ลีกจากการลงเล่น 216 นัดและทำให้เขากลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดเป็นอันดับ 5 จาก 28 คนที่สามารถทำสถิตินี้ได้

ลูกากู เริ่มฤดูกาล 2018-19 ด้วยการทำ 4 ประตู ในการลงเล่น 5 ครั้งแรกรวมถึงเกมที่ชนะ เบิร์นลีย์ ก่อนที่จะยิงไม่ได้เลยตลอด 12 เกมตั้งแต่ 19 กันยายนถึง 27 พฤศจิกายน 2018 และกลับมาทำประตูได้อีกครั้งในเกมที่พบกับ เซาแธมป์ตัน และ ฟูแล่ม ก่อนที่ โชเซ่ มูรินโญ่ จะถูกปลดจากการเป็นผู้จัดการทีม และได้อดีตกองหน้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มาทำหน้าที่แทน ซึ่งเขาไม่ได้ให้ ลูกากู ลงเล่นตลอดทั้งสองเกมแรกที่เขาเข้ามาคุมทีมในการเจอกับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ และ ฮัดเดอร์ฟิลด์ ทาวน์ โดย ลูกากู ได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองในอีกสองเกมถัดไป พบกับ บอร์นมัธ และ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งเขาทำประตูได้ทั้งสองเกมหลังจากลงสนามเพียงสองนาที หลังจากนั้นเขาได้ลงเล่น 90 นาทีเต็มในเอฟเอ คัพ รอบที่สามพบกับ เร้ดดิ้ง ซึ่งเขาทำประตูที่ปิดท้ายให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะไป 2-0 แต่อย่างไรก็ตาม โซลชา มักที่จะใช้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ในตำแหน่งศูนย์หน้ามากกว่า และใช้ ลูกากู เพียงแค่ 5 เกมจาก 9 เกมถัดมา ซึ่งเขาได้ลงเล่น 90 นาทีเต็มแค่ 2 นัดและไม่สามารถทำประตูได้เลย หลังจากนั้นเขากลับมาทำประตูในอีก 3 เกมถัดมา คือนัดที่พบกับ คริสตัล พาเลซ, เซาแธมป์ตัน, และ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง โดยประตูที่ทำได้จากเกมที่ชนะกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 3-1 ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยกฎประตูทีมเยือน

ลูกากู ติดทีมชาติเบลเยียม

เส้นทางทีมชาติ

ลูกากู ติดทีมชาติเบลเยียมชุดเยาวชน รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี และทำประตูได้ในเกมประเดิมสนามเจอกับ สโลวีเนีย จากนั้นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2010 ลูกากู มีชื่อติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในนัดกระชับมิตรกับโครเอเชีย และในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2010 เขาทำ 2 ประตูแรกของเขาในฐานะนักเตะทีมชาติได้ในเกมกระชับมิตรกับรัสเซีย แต่ต่อมาเขากลับทำประตูให้กับทีมชาติได้อีกครั้งในช่วงเวลาเกือบสองปี ในเกมกระชับมิตรกับเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2012 ซึ่งเอาชนะไปด้วยสกอร์ 4-2

วันที่ 11 ตุลาคม 2013 ลูกากู ยิง 2 ประตู ในนัดที่เบลเยียมเอาชนะโครเอเชียไป 2-1 และได้ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายได้สำเร็จ จากนั้นในเดือนพฤษภาคม 2014 ลูกากู มีชื่อติดทีมที่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลก 2014 และในวันที่ 26 พฤษภาคม เขาทำแฮตทริกแรกในนามทีมชาติได้ในทัวร์นาเมนต์อุ่นเครื่อง นัดกระชับมิตรพบกับ ลักเซมเบิร์ก อย่างไรก็ตาม เบลเยียมเปลี่ยนตัวผู้เล่นไป 7 ครั้ง จากกฎที่สามารถทำได้เพียง 6 ครั้ง ทำให้เกมดังกล่าวไม่ถูกนับว่าเป็นเกมทางการโดยฟีฟ่า ต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน เขาทำประตูแรกของเกมให้กับเบลเยียมในการแข่งขันนัดกระชับมิตรกับสวีเดน และจบลงด้วยชัยชนะ 0-2 ขณะที่การแข่งขันนัดแรกในฟุตบอลโลกครั้งนี้ของเบลเยียม พวกเขาเอาชนะแอลจีเรียในเบโล โอรีซอนชี ได้ 2-1 โดยลูกากูลงเล่นไป 58 นาทีก่อนที่จะถูกเปลี่ยนตัวออกให้ ดิว็อค โอริกี้ ลงเล่นแทน ส่วนในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เขาถูกเปลี่ยนลงมาในช่วงก่อนต่อเวลาพิเศษและทำแอสซิสต์ให้ เควิน เดอ บรอยน์ ทำประตูขึ้นนำในอีก 3 นาทีต่อมา และในนาทีที่ 105 เขายิงประตูแรกในทัวน์นาเมนต์ ช่วยให้เบลเยียมเอาชนะสหรัฐไป 2-1

วันที่ 29 มีนาคม 2016 ลูกากู โหม่งทำประตูได้ในเกมที่แพ้โปรตุเกส 2-1 จากการแอสซิสต์ของ จอร์แดน ลูกากู น้องชายของเขา ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 จากนั้นเขาทำ 2 ประตูในเกมรอบแบ่งกลุ่ม นัดที่สองเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2016 พาเบลเยียมชนะสาธาณรัฐไอร์แลนด์ไป 3-0

วันที่ 10 พฤศจิกายน 2017 ลูกากู ทำประตูได้เทียบเท่าสถิติการยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของเบลเยียมที่ เบอร์นาร์ด วอร์โฮฟ และ พอล ฟาน ฮิมสท์ เคยทำได้ หลังจากยิงได้ 2 ประตูในเกมที่เสมอกับเม็กซิโก 3-3 แล้ว 4 วันต่อมา ลูกากู ก็กลายเป็นผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของเบลเยียม ด้วยการทำ 31 ประตูในนามทีมชาติในขณะอายุเพียง 24 ปี จากการทำประตูในเกมที่เอาชนะญี่ปุ่นไป 1-0 แม้ว่าสถิติจะถูกนับโดยสมาคมฟุตบอลเบลเยียมในพระราชูปถัมภ์ แต่ฟีฟ่าก็นับเพียง 28 ประตู เนื่องจากไม่ยอมรับประตูที่ทำได้ในนัดกระชับมิตรที่แข่งกับ ลักเซมเบิร์ก เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2014 ซึ่งเขาทำแฮตทริกได้ ก่อนพาทีมชนะไป 5-1 เนื่องจากมาร์ค วิลม็อตส์ โค้ชของทีมชาติเบลเยียมในขณะนั้น เปลี่ยนตัวผู้เล่นไป 7 ครั้ง ทั้งที่สามารถทำได้เพียง 6 ครั้งตามกฎของเกม

วันที่ 6 มิถุนายน 2018 ลูกากู ทำลายสถิติที่ทำได้ร่วมกันกับ เบอร์นาร์ด วอร์โฮฟ และ พอล ฟาน ฮิมสท์ กลายเป็นผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของเบลเยียมอย่างเป็นทางการ ด้วยการทำ 31 ประตูหลังจากยิงได้ในเกมที่เอาชนะอียิปต์ไป 3-0

วันที่ 18 มิถุนายน 2018 ลูกากู ยิงไป 2 ประตูในเกมที่เอาชนะ ปานามา ไป 3-0 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบแบ่งกลุ่ม นัดแรก ขณะที่ในการแข่งขันนัดถัดมาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2018 เขายิงได้ 2 ประตูอีกครั้งในเกมที่เอาชนะตูนิเซียไป 5-2 ทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ ดิเอโก มาราโดน่า เคยทำได้เมื่อปี 1986 ด้วยการยิงได้ 2 ประตูหรือมากกว่าในการแข่งขันฟุตบอลโลกสองนัดติดต่อกัน เขาจบทัวร์นาเมนต์ด้วยการทำ 4 ประตูและอีก 2 แอสซิสต์ ทำให้เขาได้รับรางวัลบรอนซ์บูท (Bronze Boot award) ขณะที่เบลเยียมจบทัวร์นาเมนต์นี้ด้วยอันดับที่สาม

ลูกากู เป็นผู้เล่นที่ถนัดเท้าซ้าย

รูปแบบการเล่น

ลูกากู เป็นผู้เล่นที่ถนัดเท้าซ้าย และถูกเดอะ การ์เดี้ยน ยกให้เป็นหนึ่งใน 10 นักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามองของยุโรปในปี 2014 และยังเป็นที่รู้กันดีว่าลูกากูมักจะอาศัยความได้เปรียบจากสภาพร่างกายของเขาในการเล่นงานกองหลัง

อิทธิพลต่อการเล่นฟุตบอล

ในการสัมภาษณ์กับอีเอสพีเอ็นในปี 2016 ลูกากู กล่าวว่า ดีดีเยร์ ดร็อกบา และ นิโกลาส์ อเนลก้า คือสองนักเตะกองหน้าที่ทำให้เขาอยากเล่นให้ เชลซี แต่เมื่อพูดถึงกองหน้าคนที่สามระหว่างการให้สัมภาษณ์ สุดยอดนักเตะในดวงใจของเขาอย่าง โรนัลโด้ ทำให้ ลูกากู ก็มีท่าทีตื่นเต้นขึ้นมาพร้อมกับกล่าวว่า

“โรนัลโด้เปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอล เขาคือคนที่คุณจะต้องจ้องมอง คุณจะมองดูเขาสับขาหลอกคู่ต่อสู้แล้วคิดสงสัยว่าใครบ้างที่ทำแบบนี้ได้? คุณจะเห็นพวกนักเตะกองหลังล้มลงไปแล้วอุทานในใจ ว้าว เขามักทำประตูในเวลาที่สำคัญ เขายิงประตูที่ทำให้คุณรู้สึกว่า นี่มันไม่จริงใช่ไหม” ลูกากู ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับ โรนัลโด้ นักเตะในดวงใจของเขากับอีเอสพีเอ็น

ชีวิตส่วนตัว

ลูกากู เกิดที่เมืองอันท์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม มีพ่อและแม่เป็นชาวคองโก โดยพ่อของเขา โรเจอร์ ลูกากู เป็นนักฟุตบอลอาชีพและเล่นในระดับทีมชาติให้ซาอีร์ เขามีน้องชายชื่อ จอร์แดน ซึ่งเคยเล่นในทีมเยาวชนที่ อันเดอร์เลชท์ และตอนนี้กำลังค้าแข้งให้กับ ลาซิโอ้ ในอิตาลี ขณะที่ลูกพี่ลูกน้องของเขา โบลี โบลิงโกลี-เอ็มบอมโบ เล่นในตำแหน่งปีกซ้ายและกองหลังให้กับ ราปิด เวียนนา ในออสเตรีย

ลูกากู เป็นตัวหลักในสารคดีทางโทรทัศน์เรื่อง โรงเรียนของ ลูกากู (De School Van Lukaku) ฉายที่ช่องเอน (Eén) ของเบลเยียม ซึ่งเรียลลิตี้โชว์นี้ได้ติดตามไปดูชีวิต ลูกากู ในวัยรุ่นและเพื่อนร่วมชั้นของเขาในช่วงเวลา 1 ปีที่สถาบัน Saint-Guidon โรงเรียนในกรุงบรัสเซลส์ ซึ่งเขาเคยเรียนอยู่ขณะที่อยู่ในทีมนักเตะเยาวชน อันเดอร์เลชท์ ในปี 2009 โดยสารคดีพูดถึงการที่โรงเรียนพาไปทัศนศึกษาที่ลอนดอน และได้ไปเยี่ยมชมสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ของ เชลซี ตอนนั้น ลูกากู พูดขึ้นมาว่า “นี่มันสนามอะไรกัน ถ้ามีวันหนึ่งในชีวิตที่ผมร้องไห้ มันก็คือวันที่ผมได้เล่นฟุตบอลที่นี่ ผมรัก เชลซี” และนอกจากภาษาแม่อย่างฝรั่งเศสและดัตช์แล้ว เขายังสามารถพูดภาษาอังกฤษ, โปรตุเกส, สเปน, และสวาฮีลี และยังสามารถเข้าใจภาษาเยอรมันด้วย ลูกากู ได้กล่าวว่าฮีโร่สมัยเด็กและนักเตะที่เขาชื่นชอบที่สุดคือ ดีดีเยร์ ดร็อกบา

ลูกากู เป็นนักเตะพรีเมียร์ลีก

สื่อและโฆษณา

ลูกากู เป็นนักเตะพรีเมียร์ลีกคนแรกที่เข้ามาอยู่ในการดูแลของ Roc Nation Sports ของ เจย์ซี และในปี 2018 ลูกากู ได้เซ็นสัญญาโฆษณากับพูม่า บริษัทจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาของเยอรมันด้วยค่าตัวพรีเซนเตอร์ที่แพงที่สุดในบริษัทอีกด้วย