วงการลูกหนังทีเด็ด ลีโอนาโด โบนุชชี่ [Leonardo Bonucci]

ลีโอนาโด โบนุชชี่

ทีมชาติอิตาลี

ลีโอนาโด โบนุชชี่ (เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2530) เป็นนักฟุตบอลชาวอิตาลีซึ่งเล่นในตำแหน่งกองหลังของทีมยูเวนตุสและทีมชาติอิตาลี

หลังจากโบนุชชี่เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลระดับสากล ในปี 2005 เขาก็ถูกยืมตัวไปลงสนามในราวๆ 2-3 ฤดูกาลให้กับเทรวิโซและปิซา ก่อนที่เขาจะย้ายมาอยู่กับบารีในปี 2009

โบนุชชี่มีเทคนิคความสามารถในการครองบอลยาวและการป้องกันลูกได้เป็นอย่างดีโดยเขามีคู่หูเป็นเพื่อนร่วมทีมชาวอิตาลีอย่างอันเดรีย รานอคเคีย ต่อมาโบนุชชี่ได้ย้ายไปเล่นที่ยูเวนตุสในฤดูกาลถัดไป หลังจากนั้นโบนุชชี่ก็กลายเป็นแนวป้องกันของสโมสรพร้อมกับจอร์โจ กีเอลลีนีและอันเดรีย บาร์ซาญี่ โบนุชชี่เป็นหนึ่งในกองหลังที่เล่นได้ดีที่สุดในฟุตบอลโลกอีกด้วย

โบนุชชี่ได้รับรางวัลร่วมกับทีมยูเวนตุสในลีกส์กัลโชเซเรียอา อิตาเลียนฟุตบอลแชมป์เปียนชิปส์ถึง 6 ครั้งติดต่อกันในระหว่างปี 2012 และปี 2017 ต่อมาในปี 2017โบนุชชี่ย้ายไปยังทีมมิลานและหลังจากนั้นอีกหนึ่งฤดูกาลต่อมาเขาก็ได้ย้ายกลับมายังทีมยูเวนตุสอีกครั้ง

ในระดับนานาชาตินั้นโบนุชชี่ก็ได้เป็นตัวแทนของอิตาลีในการแข่งขันฟุตบอลโลกถึง 2 ครั้ง (ในปี 2010 และ ปี 2014) เข้าร่วมในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2 ครั้ง (ในปี 2012 และปี 2016) และการแข่งขันฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ (ในปี 2013) รวมทั้งการคว้าถ้วยรางวัลใหญ่จากชัยชนะในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 และยังได้รับถ้วยรางวัลอันดับสามจากศึกฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013 อีกด้วย

โบนุชชี่ยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมอีกหลายรางวัลเลยทีเดียวสำหรับความสามารถที่เขามี เขาถูกเสนอชื่อให้ร่วมทีมในยูฟ่ายูโรปาลีกส์ประจำฤดูกาลปี 2013–2014 และฤดูกาลปี 2017–2018 อีกทั้งยังเป็นสมาชิกของทีมในกัลโชเซเรียอา อิตาเลียนฟุตบอลแชมป์เปียนชิปส์แห่งปีถึง 3 ครั้งอีกด้วย เขาได้รับการยกย่องให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของเซเรียอาในปี 2016 และอยู่ในทีมยูฟ่าแห่งปีในฤดูกาลเดียวกันอีกด้วย ต่อมาในปี 2017 โบนุชชี่ยังคงอยู่ในทีมที่ได้รับรางวัลทีมยอดเยี่ยมแห่งปี FIFA FIFPro World XI และรางวัลของสหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลระหว่างประเทศ IFFHS Men’s World รวมถึงทีมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกประจำฤดูกาล 2016–17 และทีม ESM ประจำปี 2016-2017 อีกด้วย

สโมสรฟุตบอล
อินเตอร์

สโมสรฟุตบอลอินเตอร์นาซีโอนาเลมีลาโน หรือ อินเตอร์มิลาน โบนุชชี่เริ่มเล่นฟุตบอลในรุ่นเยาวชนกับสโมสรบ้านเกิดอย่างวีแตร์เบเซ และต่อมาถูกอินเตอร์มิลานยืมตัวไปร่วมทีมในช่วงฤดูร้อนปี 2005 เขาลงเล่นในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลในนัดกระชับมิตร จากนั้นเขาก็กลายมาเป็นสมาชิกของทีมอินเตอร์มิลานในรุ่นเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี โบนุชชี่เปิดตัวลงสนามในนัดสุดท้ายของฤดูกาลปี 2005-2006 ซึ่งพบกับคัลยารีในศึกอิตาเลียนฟุตบอลแชมเปียนชิปส์เซเรียอา และเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ปี 2006 อินเตอร์มิลานได้ทุ่มเงินเพื่อซื้อตัวโบนุชชี่ไปร่วมทีม

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ปี 2006 โบนุชชี่ลงสนามนัดแรกในศึกอิตาลีคัพอย่างโกปปาอีตาเลียซึ่งพบกับเมสซีนา โดยโบนุชชี่ถูกเรียกให้ลงสนามเปลี่ยนตัวกับฟาบิโอ กรอสโซ ในนาทีที่ 86 โบนุชชี่มีความโดดเด่นมากสำหรับเกมส์โกปปาอีตาเลียในฤดูกาลนั้นซึ่งเขาถูกซื้อตัวเข้ามาแทนที่วัลเตร์ ซามวยล์ในสองนัดสุดท้ายที่พบกับเอ็มโปลีและลงเล่นในรอบสองรองสุดท้ายกับอูนีโอเนกัลโชซัมป์โดเรีย และในช่วงที่โบนุชชี่อยู่ในทีมเยาวชนของอินเตอร์มิลาน เขาก็ได้รับรางวัลคัมปิโอนาโต้ พรีมาเวร่า (ตำแหน่งแชมป์เยาวชนระดับชาติ)ในช่วงสุดท้ายของฤดูกาลอีกด้วย

เทรวิโซและปิซา

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 2007 โบนุชชี่ได้กลายเป็นผู้เล่นของเทรวิโซอย่างเต็มตัวหลังจากเซ็นต์สัญญาการเป็นนักเตะให้กับเทรวิโซไปเรียบร้อย ซึ่งโบนุชชี่ก็หมดสัญญากับอินเตอร์มิลานลงพอดี

ในเดือนมิถุนายน ปี 2008 โบนุชชี่เป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่อินเตอร์มิลานซื้อตัวจากเทรวิโซเพื่อให้กลับมาอยู่กับทีมและต่อมาเขาถูกเทรวิโซยืมตัวกลับไปลงสนามอีกครั้งสำหรับฤดูกาลปี 2008-2009 จากรายงานเอกสารของเทรวิโซในส่วนของรายงานทางการเงินประจำปี 2007-2008 ระบุว่าโบนุชชี่ถูกขายไปด้วยค่าตัวราวๆ 700,000 ยูโร
บารี

ในวันที่ 8 มิถุนายน ปี 2009 โบนุชชี่เข้ารับการตรวจร่างกายที่เจนัวอย่างทุลักทุเล ต่อมาในวันที่ 1 กรกฎาคมอินเตอร์มิลานได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าโบนุชชี่พร้อมกับอัคควาเฟรสก้า โบลโซนี่และเม็กโกรินี่จะย้ายไปอยู่กับทีมเจนัว และอินเตอร์มิลานได้ซื้อตัว ดิเอโก มิลิโตและตีอาโก มอตตาเข้ามาแทน โดยในขณะนั้น อีวาน ฟาติช ซึ่งร่วมสัญญาระหว่างสโมสรฟุตบอลคิเอโว่ เวโรน่า และอินเตอร์มิลาน ก็กลายมาเป็นผู้ร่วมสัญญาระหว่างสโมสรฟุตบอลคิเอโว่ เวโรน่า และเจนัวแทน โดยในเวลานั้นโบนุชชีมีมูลค่าของค่าตัวถึง 3 ล้านยูโรเลยทีเดียว

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมโบนุชชี่ย้ายไปยังบารีในข้อตกลงร่วมด้วยค่าตัวราวๆ 1.75 ล้านยูโรพร้อมกับเม็กโกรินี่ , มัตเตโอ ปาโร (ยืมตัว), อันเดรีย รานอคเคีย (ยืมตัว) และจูเซปเป เกรโก(ยืมตัว)

โบนุชชี่กลายเป็นผู้เล่นกองกลางภายใต้หัวหน้าโค้ชอย่างเกียนเปียโรเวนทูรา ด้วยสไตล์การเล่นที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ เขาเป็นกองกลางที่แข็งแกร่งมากและมีคู่ซี้อย่างอันเดรีย รานอคเคีย ทำให้บารีมีสถิติการป้องกันที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ในเซเรียอา ต่อมาราน็อกเชียได้รับบาดเจ็บในครึ่งหลังของฤดูกาลและถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันที่เหลือทั้งหมดเพื่อไปพักฟื้นรักษาตัวต่อไป

ยูเวนตุส
ยูเวนตุส

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 2010 โบนุชชี่ได้เซ็นต์สัญญากับยูเวนตุสเป็นเวลา 4 ปี โดยได้รับค่าตัวราวๆ 15.5 ล้านยูโร (บารีซื้อโบนุชชีจากเจนัวด้วยค่าตัวประมาณ 8 ล้านยูโร) โบนุชชี่ได้รับเสื้อหมายเลข 19 โบนุชชี่และเพื่อนร่วมทีมชาวอิตาลีอย่างจอร์โจ กีเอลลีนี ลงสนามสำหรับการแข่งขันในนัดแรกของฤดูกาล และแล้วเขาก็ทำประตูแรกให้กับยูเวนตุสได้ในนัดที่พบกับทีมสตวร์ม กราซในศึกยูโรป้าลีกส์รอบคัดเลือก

เมื่อวันที่ 2 เมษายน ปี 2012 ยูเวนตุสประกาศว่าโบนุชชี่ได้เซ็นต์สัญญาฉบับใหม่โดยมีระยะเวลานานถึง 5 ปีซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ปี 2012 เป็นต้นไป โบนุชชี่คว้าแชมป์อิตาลี่(สคูเดตโต้)ครั้งแรกในฤดูกาลปี 201 1–2012 และโบนุชชี่ยังมีส่วนในการช่วยเพื่อนร่วมทีมทำประตูอีกหลายประตูอีกด้วย หลังจากจบฤดูกาลยูเวนตุสพ่ายแพ้ไปแต่ก็ยังเป็นแชมป์ในด้านของป้องกันที่ดีที่สุดของลีกส์ยุโรปใน 5 อันดับแรก โบนุชชี่สร้างฟอร์มได้ดีในฤดูกาลนั้นทำให้เขาได้รับแชมป์ยูฟ่ายูโร 2012

โบนุชชี่เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการพาทีมยูเวนตุสคว้าชัยชนะในฤดูกาลปี 2012 จากศึกซูแปร์โกปปาอีตาเลียนาหรืออิตาเลียนซูเปอร์คัพ เขาเปิดตัวลงสนามโดยพบกับเชลซีในรอบแบ่งกลุ่ม และต่อมาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ปี 2012 โบนุชชี่ลงสนามพบกับชัคตาร์โดเนตสค์โดยเขาสามารถทำประตูแรกได้ หลังจากจบเกมส์ด้วยการเสมอ 1-1 ประตู

เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2012 โบนุชชี่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าการไล่บี้ในเกมส์ลีกที่พบกับปาแลร์โมซึ่งถูกนักข่าวหลายสำนักพาดพิงว่าเป็น “เกมส์ที่เลวร้ายที่สุด” โบนุชชี่ได้รับการคาดโทษโดยผู้ตัดสินในระหว่างการแข่งขันและต่อมาถูกห้ามแบนไม่ให้ลงสนามในการแข่งขันหนึ่งนัดและถูกปรับเป็นเงินอีก 2,000 ยูโรโดยเจ้าหน้าที่ หลังจากนั้นยูเวนตุสจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์รายการเซเรียอาในฤดูกาลปี 2012-2013ไปครองได้สำเร็จ

ในฤดูกาลถัดมาโบนุชชี่ช่วยให้ยูเวนตุสในการป้องกันแชมป์ซูแปร์โกปปาอีตาเลียนาและเซเรียอา แม้ว่ายูเวนตุสจะตกรอบไปในรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก อย่างไรก็ตามโบนุชชี่ได้ช่วยให้ยูเวนตุสสามารถผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศของยูโรป้าลีกส์ได้โดยการทำประตูได้ในนัดที่พบกับออแล็งปิกลียอแนในรอบรองชนะเลิศ

ในช่วงฤดูกาลปี 2014–2015 โบนุชชีลงสนามเป็นครั้งที่ 200 สำหรับการร่วมทีมยูเวนตุสไปเมื่อวันที่ 25 มกราคม ปี 2015 โดยคว้าชัยชนะจากคิเอโว่ เวโรน่าไปได้ 2-0 ประตู ต่อมาเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ปี 2015 โบนุชชี่ลงสนามในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศ 2015 แต่พ่ายแพ้บาร์เซโลนาไป 3-1 ประตูในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงเบอร์ลิน และเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ปี 2015 โบนุชชี่คว้ารางวัลรองแชมป์ทีมแห่งปีของยูฟ่าประจำปี 2015

ยูฟ่าประจำปี 2015

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ปี 2016 โบนุชชี่ได้รับหน้าที่ให้เป็นกัปตันทีมยูเวนตุส โดยจันลุยจี บุฟฟอนและคิเอลลินีไม่ได้ลงสนามด้วย ซึ่งการให้คะแนนการตัดสินชี้ขาดในผลการแข่งขันรอบรองที่สองของการแข่งขันโกปปาอีตาเลียกับอินเตอร์มิลานที่ซานซิโรปรากฏว่าเสมอ 3-3 ประตู ส่งผลให้ยูเวนตุสสามารถเข้าไปสู่รอบสุดท้ายได้อย่างเฉียดฉิว ในนัดถัดมาเนื่องจากโบนุชชี่ได้รับใบเหลืองในระหว่างการแข่งขันทำให้เขาพลาดชัยชนะในนัดสุดท้ายกับมิลาน

ช่วงเริ่มต้นของฤดูกาลในปี 2016–2017 โบนุชชี่อุทิศเวลาให้กับลูกชายที่ป่วยหนักชื่อมัตเตโอ โดยในช่วงนั้นโบนุชชี่ไม่ได้ลงสนามให้กับยูเวนตุสและทีมชาติเลย ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนโบนุชซีมีอาการปวดต้นขาอย่างรุนแรงในนัดที่พบกับเจนัวซึ่งยูเวนตุสพ่ายแพ้ไป 3-1 ประตู จนทำให้เขาต้องพักรักษาตัวเป็นเวลาถึง 60 วัน และเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม โบนุชชี่ได้ตกลงเซ็นต์สัญญาฉบับใหม่กับยูเวนตุสซึ่งมีระยะเวลานานจนถึงปี 2021

เมื่อวันที่ 5 มกราคม ปี 2017 โบนุชชี่ถูกเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงแชมป์ทีมแห่งปีของยูฟ่า 2016 ต่อมาในวันที่ 30 มกราคม โบนุชชี่ได้รับการเสนอชื่อเพื่อชิงแชมป์ทีมแห่งปีของเซเรียอา 2015-2016 และได้รับการยกย่องให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของเซเรียอาในปี 2016 อีกด้วย

เอซีมิลาน

ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์โบนุชชี่ลงสนามให้กับยูเวนตุสเป็นครั้งที่ 300 ในนัดที่พบกับปาแลร์โมในบ้าน หลังจากจบเกมส์ปรากฏว่ายูเวนตุสคว้าชัยชนะไป 4-1 ประตู อย่างไรก็ตามหลังจากปาแลร์โม่ทำประตูได้สำเร็จโบนุชชิ่ได้โต้เถียง กับโค้ชมัสซีมีเลียโน อัลเลกรีในเรื่องเขตโทษทำให้เขาถูกลงโทษฐานแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม เป็นเหตุให้เขาถูกตัดชื่อออกจากทีมในนัดแรกของศึกแชมป์เปี้ยนส์ลีกรอบ 16 ทีมกับปอร์โตในวันที่ 22 กุมภาพันธ์

ในวันที่ 17 พฤษภาคม โบนุชชี่ทำประตูสุดท้ายได้ในการเอาชนะลาซีโอ 2-0 ประตูในศึกโกปปาอีตาเลียรอบสุดท้ายของปี 2016–2017 ต่อมาในวันที่ 3 มิถุนายน โบนุชชี่ลงสนามในรอบรองสุดท้ายของแชมป์เปียนส์ลีก แต่พ่ายแพ้เรอัลมาดริด 4-1 ประตูโดย และเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนเขายังคว้ารางวัลยูฟ่าแชมป์เปียนส์ลีกประจำฤดูกาลอีกด้วย

เอซี มิลาน

เอซี มิลาน

เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ปี 2017 โบนุชชี่ได้ตกลงเซ็นต์สัญญากับมิลานระยะเวลานานถึง 5 ปีโดยได้รับค่าตัวสำหรับการโยกย้ายครั้งนี้ราวๆ 42 ล้านยูโร ต่อมาเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ปี 2017 โบนุชชี่ติดหนึ่งในสามของนักเตะผู้เข้ารอบสุดท้ายในการชิงแชมป์รางวัลยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกประจำฤดูกาลปี 2016–2017 ผู้จัดการของมิลานอย่างวินเชนโซ มอนเตลลาได้แต่งตั้งให้โบนุชชี่เป็นกัปตันทีมคนใหม่ของทีมในเดือนเดียวกันนี้ และเมื่อวันที่ 23 ตุลาคมโบนุชชี่ได้คว้ารางวัลทีมยอดเยี่ยมแห่งปี 2017 (FIFA FIFPro World11) แม้ว่าโบนุชชี่จะคาดหวังจากมิลานเป็นอย่างมากในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาลปี 2017–2018 แต่ก็น่าผิดหวังสำหรับเขาและสโมสร เขายิงประตูแรกให้กับมิลานเมื่อวันที่ 6 มกราคม ปี 2018 ในการคว้าชัยชนะจากโครโตเน่คาบ้าน 1-0 ประตู เมื่อวันที่ 31 มีนาคม โบนุชชี่ยิงประตูให้ทีมในนัดที่พบกับยูเวนตุสโดยถือเป็นการทำลายสถิติการรักษาประตูของจานลุยจิ บุฟฟอนผู้รักษาประตูต่อเนื่องยาวนานที่สุด หลังจบเกมส์ปรากฏว่ามิลานพ่ายแพ้ยูเวนตุสไป 3-1 ประตู

ยูเวนตุส(Return)

ยูเวนตุส ลีโอนาโด โบนุชชี่

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ปี 2018 โบนุชชี่กองหลังทีมชาติอิตาลี ย้ายทีมกลับถิ่นยูเวนตุส หลังไปอยู่กับเอซี มิลาน แค่ฤดูกาลเดียว พร้อมแลกด้วยการปล่อยตัว มัตเตีย คัลดาร่า กองหลังชาวอิตาเลียน ไปให้มิลาน โดยทั้งสองคนนี้มีค่าตัว 35 ล้านยูโร โบนุชชี่เซ็นต์สัญญานาน 5 ปีจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2023 โบนุชชี่กลับมาอยูกับยูเวนตุสโดยลงสนามนัดแรกในศึกการแข่งขันเซเรียอาเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมาและสามารถเอาชนะคิเอโว่ เวโรน่าไป 3-2 ประตู ต่อมาวันที่ 29 กันยายน ปี 2018 โบนุชชี่ทำประตูแรกให้กับยูเวนตุสหลังจากย้ายกลับมาจากมิลานซึ่งถือเป็นประตูสุดท้ายของการเฉือนเอาชนะนาโปลีคาบ้านไป 3-1 ประตู และในวันที่ 2 ตุลาคมโบนุชชี่ลงสนามครั้งที่ 50 สำหรับแชมป์เปี้ยนลีกส์ในนัดที่พบกับสโมสรกีฬายัง บอยส์ เบิร์น หลังจากจบเกมส์ปรากฏว่ายูเวนตุสเอาชนะคาบ้านไปได้อย่างขาดลอย 3-0 ประตู

ทีมชาติ

ในระดับเยาวชนนั้น โบนุชชี่ลงเล่นให้กับฟุตบอลทีมชาติอิตาลีรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ปี 2007 เขาถูกเรียกตัวเพื่อลงสนามในนัดกระชับมิตรกับเรนาเต้ และในวันที่ 4 ธันวาคม ปี 2007 เขาลงสนามพบกับทีมตัวแทนอื่นๆในเซเรียซีรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี นอกจากนี้ในวันที่ 9 ตุลาคม ปี 2007เขายังลงสนามให้กับทีมชาติในนัดกระชับมิตรของเซเรียบีรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ต่อมาเขาได้รับตำแหน่งในฐานะกัปตันทีม นอกจากนี้เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ปี 2007 เขายังถูกเรียกตัวจากทีมชาติอิตาลีรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปีอีกด้วย โบนุชชี่ลงแข่งขันในฐานะตัวสำรองแต่เขาไม่ได้ลงสนามในเซเรียดีหลังจบเกมส์ปรากฏว่าทีมชาติอิตาลีพ่ายแพ้ 0-1 ประตู

ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ปี 2010 โบนุชชี่ได้เปิดตัวลงสนามในนามทีมชาติอิตาลีภายใต้การจัดการทีมของ มาร์เชลโล ลิปปีในนัดกระชับมิตรกับแคเมอรูนที่สนามในโมนาโก ซึ่งจบลงด้วยการเสมอ 0-0 ประตู

จากฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมในช่วงฤดูกาลปี 2009-2010 ทำให้โบนุชชี่ถูกดึงตัวมาเข้าร่วมเล่นให้กับทีมชาติอิตาลีสำหรับฟุตบอลโลกปี 2010 เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ปี 2010 โบนุชชี่สามารถทำประตูแรกได้ในระดับนานาชาติ แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับเม็กซิโกไปในนัดกระชับมิตรด้วยสกอร์ 1-2 ประตู โบนุชชี่ได้เป็นตัวสำรองในการแข่งขันฟุตบอลโลกซึ่งไม่ได้ลงสนามในการแข่งขันทั้ง 3 รายการของทีมชาติอิตาลีเนื่องจากอิตาลีตกรอบแรกไปอย่างน่าเสียดาย โบนุชชี่จบฤดูกาลปี 2011-2012 ด้วยการเป็นหนึ่งใน 23 คนสุดท้ายของทีมชาติอิตาลีในศึกยูฟ่ายูโร 2012 ภายใต้การจัดการทีมของเซซาเร่ ปรันเดลลี่ซึ่งช่วยให้อิตาลีสามารถเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศของการแข่งขันในนัดที่พบกับสเปนซึ่งอิตาลีพ่ายแพ้ไปอย่างขาดลอย 4-0 ประตู ในการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013 เขาพลาดการเตะลูกโทษโดยยิงมุมสูงเลยประตูไปในนัดที่พบกับสเปนในรอบรองชนะเลิศ อิตาลีเข้ารอบชิงชนะเลิศอันดับสามโดยเฉือนเอาชนะอุรุกวัยไปได้ 4-3 ประตูทำให้อิตาลีคว้าอันดับสามไปครอง โบนุชชี่ได้รับเลือกจากเซซาเร่ ปรันเดลลี่ให้เข้าร่วมในทีมชาติอิตาลีในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล แม้ว่าเขาจะยังคงเป็นผู้เล่นตัวสำรองที่ไม่ได้ลงสนามเนื่องจากพลาดท่าตกรอบแรกในการแข่งขันไป

ทีมชาติอิตาลี โบนุชชี่

เมื่อวันที่ 4 กันยายน ปี 2014 ภายใต้การจัดการทีมของผู้จัดการคนใหม่อย่างอันโตนิโอคอนเต้ได้ให้โบนุชชี่สวมปลอกแขนในตำแหน่งกัปตันทีมสำหรับทีมชาติอิตาลีเป็นครั้งแรก และสามารถพาทีมเอาชนะเนเธอร์แลนด์ในนัดกระชับมิตรไปได้อย่างขาดลอย 2-0 ประตู ต่อมาในวันที่ 31 พฤษภาคม ปี 2016 โบนุชชี่ถูกอันโตนีโอ กอนเตเสนอชื่อให้อยู่ในทีม 23 คนสำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 (UEFA Euro 2016) และเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนโบนุชชี่ช่วยให้เอ็มมานูเอล จัคเครินีทำประตูได้ซึ่งถือเป็นนัดแรกของอิตาลี โดยการครองบอลยาวในการเฉือนเอาชนะเบลเยี่ยมไป 2-0 ประตูในการแข่งขันนัดแรกของยูโร 2016 หลังจากช่วยอิตาลีรักษาชัยชนะในการแข่งขันนัดที่สองกับสวีเดน 1-0 ประตูเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน โบนุชชี่ได้รับการยกย่องอีกครั้งสำหรับการเป็นแนวป้องกันที่ยอดเยี่ยมพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมอย่างจอร์โจ กีเอลลีนีและอันเดรีย บาร์ซาญี่

ในวันที่ 22 มิถุนายน ในนัดสุดท้ายของกลุ่ม ทีมชาติอิตาลีพบกับไอร์แลนด์หลังจบเกมส์ปรากฏว่าอิตาลีพ่ายแพ้ไป 0-1 ประตู เมื่อวันที่ 27 มิถุนายนโบนุชชี่คว้ารางวัล Man of the Match มาครองได้ในรอบ 16 ของการแข่งขันในขณะที่เขาช่วยทีมชาติอิตาลีในการรักษาประตูที่สามไว้ได้และพาทีมเอาชนะแชมป์อย่างสเปนไปได้ 2-0 ประตู และวันที่ 2 กรกฎาคมในนัดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศกับเยอรมนี โบนุชชี่ยิงประตูลูกโทษได้แม้ว่ามานูเอล นอยเออร์คอยสกัดบอลไว้ ทำให้อิตาลีคว้าชัยชนะไป 6-5 ประตู

รูปแบบการเล่น

รูปแบบการเล่น

อดีตกองกลางที่มักจะถูกให้เล่นในตำแหน่งกองหลังในการป้องกันแบบสามคน หลายๆ ครั้ง ที่เราจะเรียกกองหลังในฟุตบอลสมัยใหม่ว่า ‘ลิเบโร่’ ซึ่งโบนุชชี่เองก็มีสไตล์การเล่นเป็นแบบนั้น เขาถือเป็นกองหลังที่เล่นกับบอลได้ดี เรามักจะเห็นทีมชาติอิตาลีนิยมการเล่นบอลยาวไปยังพื้นที่สุดท้าย เพื่อเปิดเกมรุกใส่คู่แข่งอย่างรวดเร็ว หรือบางทีเราก็จะเห็นกองหลังเติมขึ้นมาเป็นกองกลางเพื่อช่วยโจมตีคู่แข่ง และกองหลังของยูเวนตุสก็เป็นส่วนสำคัญในแผนการเล่นนี้
แต่ในวัย 31 ปี โบนุชชี่อาจจะไม่สามารถเติมเกมขึ้นมาได้เหมือนก่อน อย่างไรก็ตาม เขาสามารถควบคุมการเล่นเกมรุกของทีม ด้วยบอลยาวอันแม่นยำของตัวเองได้ นอกจากนี้ เจ้าตัวยังเป็นกองหลังที่อ่านเกมได้เฉียบขาดมาก ด้วยสถิติการตัดบอลมากที่สุดในทีม โดยทำได้ถึง 25 ครั้งในศึกเซเรีย อา

หากนับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว โบนุชชี่เป็นเซนเตอร์แบ็คที่ออกบอลยาวได้แม่นยำที่สุดเป็นอันดับ 2 ในเซเรีย อา ด้วยการจ่ายบอลยาวสำเร็จ 346 ครั้ง

โบนุชชี่เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของเทคนิคการออกบอลยาวและความสามารถในการโจมตีจากด้านหลัง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้เล่นที่มีความเร็วที่สุด แต่เขาก็เป็นแนวป้องกันที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการอ่านเกมส์ได้เป็นอย่างดี ถึงอย่างไรก็ตามเขาได้ทำให้เห็นถึงการปรับปรุงที่ดีขึ้นในช่วงฤดูกาล 2014-2015 โบนุชชี่ถือเป็นหนึ่งในกองหลังที่เก่งที่สุดในศึกฟุตบอลโลกและยังได้รับคำชมจากผู้จัดการทีมอย่างเปป กวาร์ดิโอลา สไตล์การเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาได้ถูกเอาไปเปรียบเทียบกับสกีเรียอดีตผู้รักษาประตู ต่อมาในปี 2012 เดอะการ์เดียนยกย่องให้โบนุชชี่เป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลกเป็นลำดับที่ 88 ในปี 2016 ลา ลีพับบลิก้าตั้งฉายาให้เขาว่า“ Beckenbonucci” ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงอดีตผู้รักษาประตูชาวเยอรมันอย่างฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ เนื่องจากโบนุชชี่เก่งกาจในด้านการเป็นแนวป้องกันและการครองบอลยาวที่แม่นยำอีกด้วย นอกเหนือจากทักษะการป้องกัน การอ่านเกมส์และเทคนิคการเล่นโบนุชชี่ยังได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำจากทักษะความเป็นผู้นำที่ดีของเขาอีกด้วย

ประวัติส่วนตัว

ครอบครัว

ในเดือนมิถุนายน ปี 2011 โบนุชชี่แต่งงานกับแฟนสาวที่ชื่อว่ามาร์ติน่ามาคคารีซึ่งเป็นอดีตนางแบบ ทั้งคู่มีลูกด้วยกันทั้งหมด 3 คน โดยเป็นลูกชาย 2 คนและเป็นลูกสาวอีก 1 คน ซึ่งลูกชายมีชื่อว่าลอเรนโซ่ (เกิดในเดือนกรกฏาคม พ.ศ.2555) และมัตเตโอ (เกิดในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557) และลูกสาวอีก 1 คนชื่อว่ามาทิลด้า (เกิดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2562) แม้ว่าโบนุชชี่จะลงเล่นให้กับยูเวนตุสมาหลายฤดูกาลก็ตาม แต่ลอเรนโซ่ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของเขานั้นเป็นแฟนตัวยงของสโมสรฟุตบอลโตรีโน่ซึ่งถือเป็นคู่แข่งของยูเวนตุส ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ปี 2016 มัตเตโอลูกชายคนสุดท้องของโบนุชชี่ต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉินหลังจากล้มป่วยหนักกระทันหัน ในการให้สัมภาษณ์กับ El Paísในปี 2017 โบนุชชี่ได้กล่าวว่าครั้งหนึ่งเคยมีความคิดที่จะเลิกเล่นฟุตบอลเนื่องจากลูกชายล้มป่วยหนักจนถึงขั้นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดพร้อมทั้งยังกล่าวอีกว่า

“ ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมานั้นโบนุชชี่มีความคิดเลิกเล่นฟุตบอลไปเลย เขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับการทำงานจนกระทั่งเริ่มเห็นมัตเตโอดีขึ้น โบนุชชี่ไม่สนใจการฝึกซ้อมหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับฟุตบอล เขาเกลียดโรงพยาบาลและพยายามหลีกเลี่ยงมันแต่ในเวลานั้นโบนุชชี่ต้องอยู่ที่นั่นและพยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้ จริงๆ แล้วมัตเตโอดีขึ้นมากซึ่งในขณะนี้ครอบครัวของเขารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่าที่เคยเป็น โบนุชชี่คิดถึงการแขวนสตั๊ดเลิกเล่นฟุตบอลซึ่งในขณะนั้นฟุตบอลไม่ใช่สิ่งสำคัญของเขาในตอนนั้น มีคำถามมากมายหลายคำถามที่ว่าทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นกับเขา … และเขาก็ไม่มีคำตอบ มันทำให้ลำดับความสำคัญถูกเปลี่ยนแปลงในเวลานั้น ตอนนี้โบนุชชี่บอกกับตัวเองว่าเขาโชคดีที่ทุกอย่างที่เขาทำนั้นมาจากหัวใจ ”

โดยการป่วยของ มัตเตโอ ต้องใช้เวลารักษาและดูอาการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ก่อนที่บุตรชายจะฟื้นตัวจากการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดหลังจากนั้นอีก 13 วัน ทำให้กองหลังยูเวนตุสที่เผชิญกับความท้าทายยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตจนถึงขั้นมีความคิดเลิกเล่นฟุตบอล สามารถกลับมายิ้มได้อีกครั้งในที่สุด

พี่ชายของโบนุชชีมีชื่อว่าริคคาร์โด (เกิดเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2525) ซึ่งเป็นนักฟุตบอลที่เคยเล่นในเซเรียซี 1 และวีแตร์เบเซ กัสเตรนเซ ส่วนพ่อของพวกเขานั้นเป็นเจ้าของร้านทำสีในวิเตอร์โบ

เดือนพฤษภาคม ปี 2012 ในระหว่างการสืบสวนเรื่องอื้อฉาวของฟุตบอลอิตาลีในปี 2011-2012 โบนุชชี่พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมยูเวนตุสอย่างซิโมเน่ เปเป้และผู้จัดการทีมอย่างอันโตนิโอคอนเตรวมถึงผู้เล่นคนอื่น ๆ อีกหลายคนถูกกล่าวหาว่าพัวพันการล้มบอล ในช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2010 โบนุชชี่ถูกกล่าวหาว่าช่วยแก้ผลการแข่งขันกับอูดิเนเซ่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาอยู่กับบารี โบนุชชี่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตามในเดือนสิงหาคมปีต่อมาทั้งเขาและเปเป้ก็พ้นจากข้อกล่าวหาต่างๆ

ในเดือนตุลาคม ปี 2012 โบนุชชี่ ภรรยาและลูกชายวัย 5 เดือนถูกโจรพร้อมอาวุธจี้ปล้นนาฬิกาข้อมือ โบนุชชี่ โชว์ความนิ่ง ไม่หวั่นแม้โดนปืนจ่อหัว อาศัยไหวพริบชกโจรหน้าแหก จนตัวเขาและครอบครัวปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ส่วนโจรหนีไปโดยมอเตอร์ไซค์พร้อมกับเพื่อนอีกคน

ชีวิตส่วนตัว