พลิกประวัติ อินเตอร์ มิลาน จ้าวอสรพิษแห่งแดนมักกะโรนี

พลิกประวัติ อินเตอร์ มิลาน จ้าวอสรพิษแห่งแดนมักกะโรนี

สโมสรฟุตบอลอินแตร์นาซีโอนาเล่มีลาโน่ (Football Club Internazionale Milano) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนาม อินเตอร์ มิลาน คือทีมฟุตบอลอาชีพที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใน เมืองมิลาน แคว้นลอมบาร์ดี้ ประเทศอิตาลี ทีมเจ้าของฉายา “เนรัซซูร์รี่” หรือที่บ้านเราเรียกกันว่า ทีมงูใหญ่ เคยคว้าแชมป์ภายในประเทศมาแล้ว 30 รายการเทียบเท่ากับ เอซี มิลาน ทีมคู่ปรับร่วมเมือง ซึ่งประกอบไปด้วย แชมป์ลีกสูงสุด 18 สมัย, โคปปา อิตาเลีย 7 ครั้ง และ ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า 5 ครั้ง พวกเขายังสร้างสถิติเทียบเท่าการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ติดต่อกัน 5 สมัยในระหว่างปี 2006 ถึง 2010 อินเตอร์ มิลาน สามารถคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ/แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ทั้งหมด 3 ครั้ง จากการเป็นจ้าวยุโรป 2 ปีติดต่อกันในปี 1964 และ 1965 จนกระทั่งหนหลังสุดในปี 2010 ที่กลายเป็นเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่จากการการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ที่ยังไม่มีสโมสรใดใน อิตาลี เคยทำได้ โดยการเป็นผู้ชนะเลิศในรายการ เซเรีย อา และ โคปปา อิตาเลีย ภายในปีนั้นอีกด้วย นอกจากนี้พวกเขายังเคยได้แชมป์ ยูฟ่า คัพ 3 ครั้ง, อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ 2 ครั้ง และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ อีก 1 สมัย ทีมงูใหญ่ ลงเตะเกมในบ้านที่สนาม ซาน ซีโร่ หรือที่รู้จักกันอย่างเป็นทางการในชื่อ สตาดิโอ จูเซปเป้ เมอัซซ่า ที่ยังใช้งานร่วมกับ เอซี มิลาน ในฐานะสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศภายใต้ความจุ 80,018 ที่นั่ง พวกเขามี เอซี มิลาน เป็นทีมคู่ปรับที่สำคัญ ในขณะที่การพบกันของทั้ง 2 ฝ่ายจะถูกขนานนามว่า “ดาร์บี้ เดลล่า มาดอนนิน่า” ซึ่งเป็นหนึ่งในดาร์บี้แมตช์ที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดในวงการลูกหนังโลก จากผลสำรวจภายในปี 2010 อินเตอร์ มิลาน คือสโมสรที่มีแฟนบอลสนับสนุนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของ อิตาลี และมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของทีมทั่วทั้งยุโรป พวกเขายังเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีมูลค่ามากที่สุดทั้งในวงการลูกหนังของประเทศและระดับโลก รวมถึงการมีสถานะเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม G-14 ที่กลายมาเป็นรากฐานของ สมาคมสโมสรฟุตบอลยุโรป (European Club Association) ที่ปัจจุบันมีสมาชิกจากประเทศต่างๆรวม 232 ทีม

ไทม์ไลน์ประวัติสโมสร
สโมสรถูกก่อตั้งเมื่อปี 1908 ภายใต้ชื่อ Foot-Ball Club Internazionale

1908 – สโมสรถูกก่อตั้งเมื่อปี 1908 ภายใต้ชื่อ Foot-Ball Club Internazionale หลังแยกตัวออกมาจาก Milan Foot-Ball and Cricket Club หรือ เอซี มิลาน ในปัจจุบัน โดยกลุ่มสมาชิกชาวอิตาเลียนและสวิสที่รวมกันกว่า 10 คนผู้ไม่แฮปปี้กับการถูกครอบงำด้วยกลุ่มสมาชิกที่เป็นชาวอิตาเลียนล้วนๆ จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสโมสรใหม่ภายใต้ชื่อ Internazionale ที่ต้องการแสดงออกถึงการเปิดรับสมาชิกจากทุกเชื้อชาติ

1910 – หลังจากเปิดตัวได้เพียง 2 ปี ทีมก็สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศภายใต้ชื่อ ปรีม่า คาเตกอเรีย ได้เป็นครั้งแรก โดยที่ เวียร์จิลิโอ ฟอสซาติ ผู้ที่ควบตำแหน่งเฮดโค้ชและกัปตันทีมชุดประเดิมโทรฟี่แรกของสโมสรกลับโชคร้ายเสียชีวิตไประหว่างทำภารกิจให้กับกองทัพอิตาลีในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 1

1920 – ภายในฤดูกาลแรกหลัง สงครามโลกครั้งที่ 1 สงบลงและลีกภายในประเทศเริ่มกลับมาลงเตะกันอีกครั้ง เนรัซซูร์ซี่ ก็ผงาดขึ้นมาคว้าแชมป์ลีกของประเทศได้เป็นครั้งที่ 2 หลังเฉือนเอาชนะ ลิวอร์โน่ 3-2 ในรอบชิงชนะเลิศ

1922 – ในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล 1921-22 ลีกระดับสูงของประเทศได้แตกออกมาเป็น 2 รายการ โดยนอกจาก ปรีม่า คาเตกอเรีย ลีกดั้งเดิมที่บริหารงานโดย สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี (FIGC) ก็ยังมี ปรีม่า ดีวีซีโอเน่ ที่ขับเคลื่อนโดยองค์กรใหม่ Confederazione Calcistica Italiana (CCI) ซึ่ง อินเตอร์ ก็เปลี่ยนมาเข้าร่วมในรายการหลังและรั้งอยู่ในอันดับบ๊วยของกลุ่ม B แต่ยังเอาตัวรอดต่อไปได้หลังเอาชนะในเกมเพลย์ออฟหนีตาย

1927 – ทีมได้เริ่มเปิดตัวใน ดีวีซีโอเน่ นาซีโอนาเล่ ลีกสูงสุดที่ทั้ง 2 องค์กรกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง และเข้าป้ายเป็นที่ 2 ของกลุ่ม A รองจาก ยูเวนตุส จนได้สิทธิ์ไปลงเตะในมินิลีกรอบสุดท้ายก่อนจะจบในอันดับที่ 5 จากทั้งหมด 6 ทีม โดยที่ โตริโน่ คือทีมที่คว้าแชมป์ในฤดูกาล 1926-27

1928 – ระหว่างยุคเรืองอำนาจของ ลัทธิฟาสซิสต์ พวกเขาตกอยู่ในสภาวะจำยอมที่ต้องควบรวมสโมสรกับ Unione Sportiva Milanese ก่อนจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Società Sportiva Ambrosiana และเลือกสวมชุดแข่งพื้นสีขาวพร้อมกากบาทสีแดงโดยได้แรงบันดาลใจมาจากธงและตราประจำเมือง มิลาน ซึ่งก็มีที่มาจากธงของ เซนต์ อัมโบรส นักบุญองค์อุปถัมภ์ประจำเมือง

1929 – ออเรสเต้ ซิโมเน็ตติ ประธานสโมสรคนใหม่จัดการเปลี่ยนชื่อทีมอีกรอบไปเป็น Associazione Sportiva Ambrosiana แต่บรรดากองเชียร์ก็ยังคงพร้อมใจกันเรียกทีมว่า อินเตอร์ ในขณะที่ทีมจบฤดูกาล 1928-29 ของ ดีวีซีโอเน่ นาซีโอนาเล่ ด้วยอันดับที่ 6 ของกลุ่ม B จนมีสิทธิ์เป็นทีมที่ร่วมเปิดตัว เซเรีย อา ลีกสูงสุดของประเทศในรูปแบบใหม่ฤดูกาลหน้า

1930 – และแล้วทีมที่หันมาใช้ชื่อ อัมโบรเซียน่า ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดภายใต้ชื่อ เซเรีย อา ได้เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ โดยมีแต้มนำหน้า เจนัว ทีมระดับบิ๊กเนมในขณะนั้น 2 คะแนน

1931 – ปอซซานี่ ที่เข้ามารับตำแหน่งประธานแทนที่ ซิโมเน็ตติ ต้องยอมขานรับข้อเรียกร้องของเหล่าสมาชิกผู้ถือหุ้นให้เปลี่ยนชื่อทีมอีกครั้งเป็น Associazione Sportiva Ambrosiana-Inter

1935 – พวกเขาเข้าป้ายเป็นที่ 2 รองจาก ยูเวนตุส 3 ฤดูกาลติดต่อกันในระหว่างปี 1933 ถึง 1935

1936 – แม้ทีมจะจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 แต่ จูเซปเป้ เมอัซซ่า “เป็ปปิโน่” ดาวยิงตัวเก่งของทีมก็สามารถคว้าตำแหน่งดาวซัลโวในฤดูกาลนั้นได้จากผลงาน 25 ประตู

1938 – เมอัซซ่า กลับมาครองตำแหน่งดาวซัลโวอีกครั้งพร้อมกับมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ อัมโบรเซียน่า คว้าแชมป์ สคูเด็ตโต้ ได้เป็นสมัยที่ 4 หลังมีแต้มมากกว่า ยูเวนตุส 2 คะแนน

1939 – ทีมงูใหญ่ คว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย ได้เป็นสมัยแรกหลังจากเฉือนเอาชนะ โนวาร่า 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศที่ กรุงโรม

1940 – แม้ เมอัซซ่า ดาวยิงคนสำคัญจะได้รับบาดเจ็บยาว แต่ผู้เล่นที่เหลือก็ยังรวมพลังกันเก็บแต้มแซงหน้า โบโลญญ่า และ ยูเวนตุส จนคว้าแชมป์ เซเรีย อา ได้เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ปี ก่อนที่ เมอัซซ่า จะตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ เอซี มิลาน ในช่วงปลายปีนั้น

1941 – พวกเขาพลาดโอกาสป้องกันแชมป์เมื่อตกเป็นที่สองรองจาก โบโลญญ่า หลังจบฤดูกาล 1940-41

1946 – หลังจากว่างเว้นการแข่งขันในประเทศไป 1 ปีเต็มด้วยภาวะของ สงครามโลกครั้งที่ 2 ทีมก็หันกลับมาใช้ชื่อเดิม Internazionale และลงแข่งขันใน เซเรีย อา ฤดูกาล 1945-46 ภายใต้รูปแบบพิเศษที่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มและมีทีมระดับหัวแถวจาก เซเรีย บี ขยับขึ้นมาเข้าร่วมด้วย โดยที่ อินเตอร์ เข้าป้ายเป็นที่ 2 ของกลุ่ม A และผ่านเข้าไปชิงแชมป์ในมินิลีกรอบสุดท้ายที่ โตริโน่ กลายเป็นผู้คว้า สคูเด็ตโต้ ไปครอง

1949 – หลังตกไปอยู่กลางตารางภายใน 2 ซีซั่นที่ผ่านมา ภายใต้การคุมทีมของ เดวิด จอห์น แอสท์ลี่ย์ เฮดโค้ชชาวเวลส์ ก็ทำให้ทีมกลับมารั้งในอันดับที่ 2 หลังสิ้นสุดฤดูกาล 1948-49 โดยที่ อิสท์แวน เนียร์ส และ อเมเดโอ อมาเดอี 2 ดาวยิงตัวเก่งของทีมคว้าตำแหน่งดาวซัลโวและรองดาวซัลโวได้ตามลำดับ

1951 – ทีมยังคงรักษาผลงานในระดับท็อปได้อย่างต่อเนื่อง ก่อนจะคว้าอันดับรองแชมป์โดยมีแต้มตามหลัง เอซี มิลาน ทีมคู่ปรับร่วมเมืองเพียงแค่คะแนนเดียว

1953 – สโมสรเปิดตัว อัลเฟรโด้ โฟนี่ อดีตกุนซือของ ซามพ์โดเรีย ผู้มาพร้อมกับแทคติกใหม่ที่กลายเป็นที่รู้จักกันในภายหลังว่า “คาเตนัชโช่” จนทำให้ อินเตอร์ เดินหน้าเก็บแต้มได้เป็นกอบเป็นกำก่อนจะคว้าแชมป์ เซเรีย อา ได้ในขณะที่ยังเหลือการแข่งขันอีก 3 นัด

1954 – พวกเขาออกสตาร์ทฤดูกาลป้องกันแชมป์ด้วยการไม่มี อิสท์แวน เนียร์ส ดาวยิงตัวเก่งชาวฮังกาเรียนอยู่ในทีม เนื่องจากไปมีปากเสียงกับ คาร์โล มัสเซโรนี่ ประธานสโมสรเกี่ยวกับเรื่องค่าเหนื่อยที่ไม่ลงตัว จนกระทั่งได้กลับมาลงสนามอีกครั้งตอนช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนในศึก ดาร์บี้ เดลล่า มาดอนนิน่า ที่เจ้าตัวจัดการซัดแฮตทริกสยบคู่แข่งร่วมเมืองไป 3-0 ก่อนที่ครึ่งปีต่อมาทีมจะเปิดบ้านถล่ม ยูเวนตุส 6-0 และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ฤดูกาล 1953-54 จากการมีแต้มอยู่เหนือ ยูเว่ เพียงแค่คะแนนเดียว

1959 – หลังจากการคว้าแชมป์ได้ 2 สมัยติดต่อกัน ทีมก็มีอันดับที่แกว่งขึ้นๆลงๆโดยผลงานที่ดีที่สุดก่อนจะหมดยุคปี 50 ก็คือการได้อันดับที่ 3 ในฤดูกาล 1958-59 โดยมีแต้มตามหลัง เอซี มิลาน ทีมแชมป์ 6 คะแนน และภายในปีนั้นทีมก็ยังผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศในรายการ โคปปา อิตาเลีย กับ ยูเวนตุส ก่อนจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปแบบยับเยิน 4-1

1961 – เอเลนิโอ เอร์เรร่า ก้าวเข้ามากุมบังเหียนพร้อมกับหนีบเอา หลุยส์ ซัวเรซ มิดฟิลด์ชาวสเปนขุนพลคู่ใจที่พึ่งคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ มาหมาดๆ หลังทั้งคู่เคยช่วยกันสร้างชื่อเสียงมากับ บาร์เซโลน่า โดยที่ ยอดกุนซือชาวอาร์เจนติน่า จัดการวางแทคติกให้ทีมใหม่ในรูปแบบ 5-3-2 และทำการประยุกต์ คาเตนัชโช่ ระบบที่วางไว้ในเกมรับจากแนวแผงหลัง 4 คนโดยเพิ่มตำแหน่ง สวีปเปอร์/ลิเบอโร่ เข้าไปให้มีอิสระในการดันขึ้นไปเติมเกมรุกก่อนจะจบฤดูกาลแรกด้วยอันดับที่ 3 และจากการได้อันดับที่ 4 ในซีซั่นที่ผ่านมาก็ทำให้ทีมได้ลงเตะในรายการ อินเตอร์-ซิตี้ส์ แฟร์ส คัพ ที่กลายเป็นต้นแบบของ ยูฟ่า คัพ ในภายหลัง โดยผ่านเข้าไปจนถึงรอบรองชนะเลิศก่อนจะพ่ายให้กับ เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้ ด้วยสกอร์รวม 4-2

1963 – หลังจากทำผลงานขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 2 ได้ในซีซั่นก่อน ก็ทำให้พวกเขาออกสตาร์ทฤดูกาล 1962-63 ด้วยความคาดหวังแต่ทว่าทีมกลับทำผลงานได้น่าผิดหวังจากการเก็บได้เพียง 7 คะแนนจาก 7 นัดแรก ก่อนจะค่อยๆเร่งสปีดขึ้นมาเรื่อยๆจนรั้งอยู่ในอันดับที่ 2 ตอนเริ่มต้นปี 1963 จนกระทั่งมาระเบิดฟอร์มได้อย่างเปรี้ยงปร้างในช่วงครึ่งซีซั่นหลังและปาดหน้า ยูเวนตุส คว้าแชมป์ สคูเด็ตโต้ ได้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี

1964 – จากการคว้าแชมป์ในซีซั่นที่ผ่านมาก็ทำให้ เนรัซซูร์รี่ มีโอกาสลงเตะใน ยูโรเปี้ยน คัพ เป็นครั้งแรก ซึ่งทีมก็สามารถฟันฝ่าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศที่ต้องดวลกับ เรอัล มาดริด ในสนาม แอนสท์ ฮัพเพิล สตาดิโอน กรุงเวียนนา ก่อนที่พวกเขาจะสยบอดีตแชมป์ 5 สมัยในเวลานั้น 3-1 และกลายเป็นถ้วยยุโรปใบแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร โดยหลังจากนั้นอีก 4 วันต่อมาทีมก็จบฤดูกาล 1963-64 ในลีกด้วยตำแหน่งจ่าฝูงร่วมกับ โบโลญญ่า จนกลายเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ เซเรีย อา ที่ต้องตัดสินหาผู้ชนะเลิศด้วยการลงเตะเกมเพลย์ออฟ ก่อนที่พวกเขาจะพ่ายให้กับ โบโลญญ่า 2-0 แต่ก็ยังได้สิทธิ์ไปลงแข่งขันใน ยูโรเปี้ยน คัพ ซีซั่นหน้าในฐานะแชมป์เก่า นอกจากนี้ทีมยังมีโอกาสลงเตะในรายการ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ และเป็นฝ่ายเฉือนเอาชนะ อินดิเพนเดนเต้ 1-0 ในนัดชิงรอบรีเพลย์

1965 – แม้สถานการณ์เริ่มต้นของ อินเตอร์ จะตกเป็นรอง เอซี มิลาน จากการพ่ายแพ้ในศึก มิลาน ดาร์บี้ 3-0 ตอนช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนจนทำให้มีแต้มตามหลังทีมคู่ปรับร่วมเมืองอยู่ 7 คะแนนในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 15 นัด แต่แล้วพวกเขาก็สามารถสร้างประวัติศาสตร์การคัมแบ็คอันยิ่งใหญ่ด้วยการเก็บชัยชนะได้ถึง 13 นัดและเสมออีก 2 ครั้งจนคว้าแชมป์ เซเรีย อา ได้เป็นสมัยที่ 2 ในรอบ 3 ปี โดยที่ อเลสซานโดร มัซโซล่า ดาวยิงคนสำคัญของทีมยังคว้าตำแหน่งซัลโวของลีกด้วยการซัดไป 17 ประตู นอกจากนี้ เอร์เรร่า ยังพาทีมป้องกันแชมป์ในเวทียุโรปได้อีกจากการเฉือนเอาชนะ เบนฟิก้า 1-0 จากประตูชัยของ แจร์ ดา คอสต้า ปีกชาวแซมบ้า ในนัดชิงที่ ซาน ซีโร่ ในขณะที่ได้ผ่านเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ อิตาเลียน คัพ เช่นกัน แต่ก็พ่ายให้กับ ยูเวนตุส ไปแบบหวุดหวิด 1-0 ก่อนจะมาลงเตะในถ้วย อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ และเป็นฝ่ายย้ำแค้น อินดิเพนเดนเต้ คู่ชิงเมื่อปีก่อนอีกครั้งด้วยสกอร์รวม 3-0

1966 – ในที่สุด เอร์รเร่า ก็พาทีมป้องกันแชมป์ลีกได้สำเร็จหลังจากการเปิดรัง ซาน ซีโร่ ไล่ถล่ม ลาซิโอ 4-1 ในนัดรองสุดท้ายและทำให้ทีมคว้าแชมป์ สคูเด็ตโต้ ได้ครบ 10 สมัย จนได้รับการติดดาวเกียรติยศเหนือตราสโมสรบนหน้าอกเสื้อเป็นทีมที่ 2 ต่อจาก ยูเวนตุส ในขณะที่ยังผ่านเข้าไปจนถึงรอบตัดเชือกในบอลถ้วยยุโรปแต่ก็ต้องตกรอบไปด้วยน้ำมือของ เรอัล มาดริด

1967 – ทีมงูใหญ่มุ่งมั่นที่จะคว้าแชมป์เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน และเหมือนจะทำผลงานได้ตามที่คาดหวัง แต่หลังจากออกอาการแผ่วปลายด้วยการชนะ 1 เสมอ 4 จาก 5 นัดในช่วงท้าย ก็ทำให้พวกเขาต้องการชัยชนะในการออกไปเยือน มานโตว่า ทีมกลางตารางในนัดปิดฤดูกาล แต่แล้วจากความผิดพลาดของ จูเลียโน่ ซาร์ติ ผู้รักษาประตูที่ปัดลูกยิงของ เบเนียมิโน่ ดิ จาโคโม่ อดีตนักเตะของพวกเขาเข้าไปประตูไปก็ทำให้ อินเตอร์ ตกเป็นฝ่ายปราชัย 1-0 ในขณะที่ ยูเวนตุส ทีมอันดับ 2 กลับเปิดบ้านเอาชนะ ลาซิโอ 2-1 จนปาดหน้าคว้าแชมป์ได้อย่างน่าเจ็บใจ ในขณะที่ทีมยังผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศในรายการ ยูโรเปี้ยน คัพ ที่แม้ มัซโซล่า จะช่วยสังหารจุดโทษให้พวกเขาขึ้นนำไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 7 แต่จาก 2 ประตูในช่วงครึ่งหลังก็ทำให้ เซลติก พลิกกลับมาแซงนำและกลายเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ไปด้วยสกอร์ 2-1 พร้อมกับการปิดฉาก “Grande Inter” ฉายาในยุคเรืองรองของพวกเขาลงแต่เพียงเท่านั้น

1970 – หลังการจากไปของ เอเลนิโอ เอร์เรร่า เมื่อ 2 ปีก่อนและดึงตัว อัลเฟรโด้ โฟนี่ กลับมาอีกครั้งเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ทีมออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ด้วยการตั้งแต่ง เอริเบร์โต้ เอร์เรร่า กุนซือชาวปารากวัยเข้ามาทำหน้าที่แทน และเขาก็ช่วยให้ทีมจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 2 โดยเป็นรองเพียงแค่ กายารี่ ทีมจอมเซอร์ไพรส์ที่ผงาดขึ้นมาคว้าแชมป์ เซเรีย อา ได้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวจวบจนทุกวันนี้

1971 – ภายหลังการพ่ายแพ้ไป 3 จาก 5 นัดแรกก็ทำให้ เอริเบร์โต้ ถูกปลดออกจากตำแหน่งโดยที่ โจวานนี่ อินแวร์นิซซี่ โค้ชทีมเยาวชนได้รับโอกาสขึ้นมาแทนที่ และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ เนรัซซูร์รี่ กลับมาโกยแต้มได้แบบเป็นกอบเป็นกำ จนกระทั่งช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เอซี มิลาน ทีมคู่แข่งลุ้นแชมป์ดันพ่ายให้กับ โบโลญญ่า ในขณะที่พวกเขากลับเป็นฝ่ายเปิดบ้านไล่ถลุง ฟอจจา 5-0 จนทำให้คะแนนทิ้งขาดและกลับมาคว้าแชมป์ สคูเด็ตโต้ ได้สำเร็จทั้งๆที่ยังเหลือการแข่งขันอีก 2 นัดในมือ

1972 – อินเตอร์ หวนกลับมาลงเตะในถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพ อีกครั้ง ก่อนจะผ่าน เออีเค เอเธนส์ ในรอบแรกจนมาเจอกับ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ที่ลงเตะเลกแรกกันที่ เยอรมัน ในขณะที่เจ้าถิ่นกำลังกุมความได้เปรียบจากสกอร์ที่นำอยู่ 2-1 จู่ๆในนาทีที่ 29 โรแบร์โต้ โบนินเซญญา หัวหอกชาวอิตาเลียนของทีมงูใหญ่ ก็ถูกกระป๋องโค้กปาเข้าที่ศรีษะจนล้มลง โดยที่ กุนเทอร์ เน็ตเซอร์ สตาร์ดาวรุ่งของ มึนเช่นกลัดบัค กลับพยายามทำลายหลักฐานด้วยการโยนกระป๋องทิ้งออกข้างสนาม แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของ อเลสซานโดร มัซโซล่า ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายในสนามที่ผู้ตัดสินชาวดัตช์กลับอนุญาตให้เกมดำเนินต่อไป ก่อนจะจบด้วยความพ่ายแพ้ราบคาบ 7-1 ของผู้มาเยือนที่อยู่ในอาการงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามทีมก็ส่งเรื่องร้องเรียนไปยัง ยูฟ่า ก่อนที่ผลการแข่งขันนัดที่ผ่านมาจะถูกยกเลิกและลงเตะกันใหม่จนกระทั่ง อินเตอร์ สามารถผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้ด้วยสกอร์รวม 4-2 ซึ่งทีมก็สามารถทะลุเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศแต่ก็พ่ายให้กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 2-0 ในการลงเตะกันที่สนาม เดอ ไคป์ กรุงร็อตเตอร์ดัม

1977 – ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาแทบไม่มีโอกาสใกล้เคียงกับการสัมผัสถ้วยรางวัลจนกระทั่งภายใต้การคุมทีมในฤดูกาลที่ 2 ของ จูเซปเป้ เคียปเปลล่า ทีมก็กลับมามีลุ้นอีกครั้งหลังจากผ่านเข้าไปเผชิญหน้ากับ เอซี มิลาน ในนัดชิงชนะเลิศ โคปปา อิตาเลีย แต่สุดท้ายพวกเขาก็เป็นฝ่ายปราชัยในศึกดาร์บี้แมตช์ครั้งนี้

1978 – ทีมประกาศแต่งตั้ง ยูเจนีโอ แบร์เซลลินี่ เข้ามารับหน้าที่คุมทีมในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล และประสบความสำเร็จได้เลยในซีซั่นเปิดตัว จากพาทีมผ่านเข้าชิงถ้วย อิตาเลียน คัพ เป็นปีที่สองติดต่อกัน ซึ่งคราวนี้แฟนๆก็ได้ฉลองกันสุดเหวี่ยงหลังสามารถสยบ นาโปลี 2-1 จากประตูชัยของ กราเซียโน่ บีนี่ ในนาทีที่ 89

1980 – และแล้วแชมป์ลีกสมัยที่ 12 ของ เนรัซซูร์รี่ ก็มาถึง เมื่อ แบร์เซลลินี่ พาทีมขับเคี่ยวลุ้นแชมป์มากับ ยูเวนตุส และ เอซี มิลาน ก่อนจะทำแต้มทิ้งขาดได้ในนัดรองสุดท้ายหลังบุกไปเอาชนะ ฟิออเรนติน่า 2-0 และภายในซีซั่นนั้นยังเกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นเมื่อบรรดาทีมใน เซเรีย อา อันได้แก่ มิลาน, ลาซิโอ, เปรูจา, โบโลญญ่า, นาโปลี และ อเวลลิโน่ ต่างมีส่วนพัวพันกับคดีล็อคผลการแข่งขันที่เรื่องเกิดแดงขึ้นมาระหว่างช่วงเดือนมีนาคม ก่อนจะมีบทสรุปที่ มิลาน และ ลาซิโอ ถูกปรับตกชั้นลงไป ในขณะที่ทีมอื่นๆก็ถูกลงโทษตัดแต้มไปตามๆกัน

1982 – แบร์เซลลินี่ พาทีมเข้าชิง โคปปา อิตาเลีย ได้เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 5 ปี โดยเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบจากประตูชัย 1-0 ของ อัลโด้ เซเรน่า ในนัดแรกที่ ซาน ซีโร่ ก่อนจะบุกไปยันเสมอ 1-1 ที่ ตูริน จนทำให้ทีมคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ในรายการนี้มาครองได้สำเร็จ

1985 – พวกเขาพยายามเสริมทัพด้วยการคว้าตัว คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ ยอดศูนย์หน้าชาวเยอรมัน ที่สุดท้ายก็ไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งเหมือนสมัยยังอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค ตลอด 3 ปีที่นี่ โดยในฤดูกาล 1984-85 พวกเขาจบในอันดับที่ 3 โดยเป็นรอง โตริโน่ และ เฮลลาส เวโรน่า ทีมม้ามืดที่ก้าวขึ้นมาครองแชมป์ สคูเด็ตโต้ ได้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์

1986 – แม้ทีมจะโชว์ฟอร์มในลีกได้ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาจากการจบในอันดับที่ 6 แต่ผลงานในบอลถ้วยยุโรปของพวกเขากลับดูดีไม่น้อย เมื่อสามารถผ่านเข้าไปจนถึงรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ ที่พบกับ เรอัล มาดริด จากประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีแรกของ มาร์โก ทาร์เดลลี่ ก่อนเจ้าตัวจะมายิงได้อีกเม็ดและทำให้ทีมเป็นฝ่ายคว้าชัยในบ้านไปก่อน 3-1 แต่แล้วในการออกไปเยือนที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว พวกเขากลับถูกเจ้าถิ่นไล่ถลุงยับ 5-1 ก่อนที่ ราชันชุดขาว จะก้าวไปจนถึงตำแหน่งแชมป์ในท้ายที่สุด

1987 – โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ เปิดตัวในฐานะผจก.ทีมคนใหม่ หลังจากพา ยูเวนตุส คว้าแชมป์ เซเรีย อา ได้ 6 สมัยภายในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับการเสริมทัพด้วย ดาเนี่ยล พาสซาเรลล่า กองหลังจอมเก๋าชาวอาร์เจนติน่า ที่พึ่งคว้าแชมป์ใน ฟุตบอลโลก 1986 มาหมาดๆ โดยผลงานในปีแรกของเขาก็คือการจบในอันดับที่ 3 รองจาก ยูเวนตุส และ นาโปลี ทีมแชมป์ที่นำโดย ดีเอโก้ มาราโดน่า กัปตันทีมชุดแชมป์โลกล่าสุด

โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ เปิดตัวในฐานะผจก.ทีมคนใหม่

1989 – ภายใต้การคุมทีมเป็นปีที่ 3 ตราปัตโตนี่ จัดการเสริมผู้เล่นด้วยการเซ็นสัญญากับ 2 สตาร์ชาวเยอรมัน อันเดรียส เบรห์เม่ และ โลธ่าร์ มัทเธอุส พร้อมดึงตัว รามอน ดิอาซ ศูนย์หน้าชาวอาร์จเนติน่า และ นิโคล่า แบร์ตี้ กองกลางสุดหล่อทีมชาติอิตาลี ซึ่งก็ช่วยให้ อินเตอร์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมก่อนจะเข้าป้ายเป็นที่ 1 โดยมีคะแนนทิ้งห่าง นาโปลี ทีมอันดับ 2 ไปไกลถึง 11 คะแนน พร้อมกับ อัลโด้ เซเรน่า ที่คว้าตำแหน่งดาวซัลโวไปครองด้วยผลงาน 22 ประตูภายในฤดูกาล 1988-89 ก่อนที่ทีมจะมาคว้าถ้วยรางวัล ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า ได้เป็นสมัยแรกจากการเอาชนะ ซามพ์โดเรีย 2-0 ในเดือนพฤศจิกายน

1991 – หลังจากผ่าน สปอร์ติ้ง ลิสบอน มาได้ในรอบตัดเชือก ทีมงูใหญ่ ก็มีโอกาสได้ประชันกับ โรม่า คู่แข่งจาก อิตาลี ด้วยกันเองในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ ซึ่งพวกเขาสามารถเก็บชัยชนะในถิ่น ซาน ซีโร่ ไปก่อน 2-0 จากการสังหารจุดโทษของ มัทเธอุส บวกกับอีก 1 ประตูของ แบร์ตี้ และแม้จะกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ 1-0 ในการออกไปเยือนที่ กรุงโรม แต่มันก็ยังเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ ได้เป็นสมัยแรก และนี่ยังเป็นโทรฟี่ใบสุดท้ายภายใต้การคุมทีมของ ตราปัตโตนี่ ที่ตัดสินใจอำลาทีมไปหลังจบฤดูกาลนั้น

1993 – หลังโชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวังในซีซั่นก่อน ออสวัลโด้ บันโญลี่ กุนซือคนใหม่ ก็จัดการเสริมทีมด้วย อิกอร์ ชาลิมอฟ กองกลางชาวรัสเซีย, ดาร์โก้ ปานเชฟ ศูนย์หน้าชาวมาซิโดเนีย, รูเบน โซซ่า ดาวยิงชาวอุรุกวัย และ ซัลวาตอเร่ สกิลลาชี่ หัวหอกชาวอิตาเลียน จนทำให้ทีมทำผลงานได้ตามที่หวังก่อนจะเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 รองจาก เอซี มิลาน

1994 – แม้จะออกสตาร์ทฤดูกาลถัดมาด้วยการดึงตัว 2 สตาร์ชาวดัตช์ เดนนิส เบิร์กแคมป์ และ วิม ยองค์ มาจาก อาแจ็กซ์ ทั้งคู่ แต่แล้วทีมกลับไม่สามารถงัดฟอร์มหรูเหมือนกับในซีซั่นที่ผ่านมาได้เลย นอกจากนี้ 2 ผู้เล่นหน้าใหม่กลับมามีปัญหาขัดแย้งกับกุนซืออีก จนกระทั่งการพ่ายแพ้คาบ้านต่อ ลาซิโอ 2-1 ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ก็ทำให้ บันโญ่ลี่ ตัดสินใจลาออก ก่อนที่ จามปิเอโร่ มารินี่ อดีตผู้เล่นของทีมจะเข้ามาเสียบแทน และช่วยพาทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ ที่เป็นฝ่ายเอาชนะ ออสเตรีย ซัลซ์บวร์ก ไปด้วยสกอร์รวม 2-0 และจะจบฤดูกาลนั้นด้วยการอยู่ในอันดับที่ 13 โดยมีคะแนนมากกว่าทีมตกชั้นเพียงแค่แต้มเดียว

1995 – มัสซิโม่ โมรัตติ มหาเศรษฐีกลุ่มธุรกิจพลังงานชาวอิตาเลียน ก้าวเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรแทนที่ แอร์เนสโต้ เปเญกรินี่ พร้อมกับนโยบายที่เตรียมจะทุ่มเงินซื้อสตาร์ชั้นนำเข้ามาสู่ทีม

1996 – ทีมเปิดฤดูกาลใหม่ด้วยการดึงตัว พอล อินซ์ มาจาก แมนฯ ยูไนเต็ด และ 2 นักเตะจากอเมริกาใต้ ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ และ โรแบร์โต้ คาร์ลอส ที่ก้าวขึ้นไปเป็นซูเปอร์สตาร์ของวงการในเวลาต่อมา แต่ผลงานในลีกก็ยังไม่เป็นไปตามที่หวังและแม้จะมีการเปลี่ยนผจก.ทีมระหว่างซีซั่นถึง 2 ครั้ง จาก อ็อตตาวิโอ เบียงคี่ มาเป็น หลุยส์ ซัวเรซ ก่อนจะจบที่ รอย ฮ็อดจ์สัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำได้เพียงอยู่ในอันดับที่ 7

1997 – อินเตอร์ เดินหน้าช็อปปิ้งต่อด้วยการเซ็นสัญญากับ ยูริ จอร์เกฟฟ์ เพลย์เมคเกอร์ชาวฝรั่งเศส และ อิวาน ซาโมราโน่ หัวหอกชาวชิลี นอกจากนี้ก็ยังมี ชิริอาโก้ สฟอร์ซ่า กองกลางห้องเครื่องชาวสวิส และ 2 ผู้เล่นแนวรับ โจเซอแลง อองโกลม่า และ ฟาบิโอ กาลันเต้ ทีมก็ทำผลงานในถ้วยยุโรปได้ดีจากการผ่านเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ ที่ออกไปพ่ายให้กับ ชาลเก้ 04 นอกบ้าน 1-0 ก่อนจะกลับแก้มือได้ใน ซาน ซีโร่ 1-0 เช่นกันจากประตูในช่วง 6 นาทีสุดท้ายของ ซาโมราโน่ โดยหลังจากช่วงต่อเวลาพิเศษที่ทีมต้องเล่นกันเพียงแค่ 10 คนเนื่องจาก ซัลวาตอเร่ เฟรซี่ ถูกไล่ออกไปในช่วงก่อนหมด 90 นาทีไม่นานและทั้ง 2 ฝ่ายก็ทำอะไรกันไม่ได้จนต้องดวลจุดโทษตัดสิน สุดท้ายแล้ว ชาลเก้ ก็เป็นฝ่ายที่แม่นเป้ากว่าและส่งผลให้ ฮ็อดจ์สัน ต้องกระเด็นหลุดออกจากตำแหน่งแม้ผลงานในลีกที่จบในอันดับที่ 3 จะไม่ได้ขี้เหร่ซักเท่าไรก็ตาม

1998 – ลุยจิ ซิโมนี่ ก้าวเข้ามารับตำแหน่งกุนซือคนใหม่ พร้อมกับการเปิดตัว โรนัลโด้ หัวหอกค่าตัวแพงที่สุดในโลกจาก บาร์เซโลน่า รวมถึงแข้งชื่อดังรายอื่นทั้งๆ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่, ตาริโบ เวสต์ และ อัลบาโร่ เรโคบ้า ผู้ที่เปิดตัวได้อย่างสวยหรูจากการซัด 2 ประตูในแมตช์แรกอย่างเป็นทางภายใต้สีเสื้อดำน้ำเงิน ซึ่งพวกเขาก็พัฒนาผลงานขึ้นมาจากซีซั่นที่แล้วอย่างเห็นได้ชัดโดยสามารถขับเคี่ยวลุ้นแชมป์กับ ยูเวนตุส ได้อย่างคู่คี่สูสี แต่หลังจากการบุกไปพ่ายให้กับ ยูเว่ 1-0 ในช่วงปลายเดือนเมษายนก็ทำให้ทีมตกเป็นรองอยู่ 3 แต้ม จนกระทั่ง 10 วันต่อมาทีมก็มีโอกาสลงเตะในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ เป็นครั้งที่ 3 ภายในรอบ 7 ปี ด้วยการเผชิญหน้ากับ ลาซิโอ คู่แข่งจาก อิตาลี ด้วยกันเอง และจากการทำคนละประตูของ ซาโมราโน่, ซาเน็ตติ และ โรนัลโด้ ก็ช่วยให้ อินเตอร์ คว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ สมัยที่ 3 ได้สำเร็จ ก่อนที่ทีมจะจบฤดูกาลนั้นด้วยอันดับรองแชมป์

1999 – เนรัซซูร์รี่ จัดการเซ็นสัญญากับ โรแบร์โต้ บาจโจ้ ในวัย 31 ปีเข้ามาร่วมทีม และยังเสริมด้วยผู้เล่นดาวรุ่งอย่าง นิโคล่า เวนโตล่า, อันเดรีย ปิร์โล่, อุสมัน ดาโบ และ มิกาเอล ซิลแวสต์ แต่กลับกลายเป็นว่าผลงานของพวกเขากลับถดถอยลงและ โรนัลโด้ ดาวยิงตัวความหวังก็ดันมีอาการบาดเจ็บรบกวนจนทำให้ลงสนามได้เพียง 19 จากทั้งหมด 34 เกม (แต่ก็ยังอุตส่าห์ซัดไปได้รวม 14 ประตู) แม้ทีมจะพยายามสับเปลี่ยนกุนซือไปถึง 4 รายที่จบลงด้วย รอย ฮ็อดจ์สัน เป็นรอบที่ 2 แต่ก็ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่รั้งอยู่ในอันดับที่ 8

2000 – โมรัตติ ยังไม่ละทิ้งความพยายามจะกอบกู้ชื่อเสียงของทีมงูใหญ่กลับมา ก่อนจะตัดสินใจอนุมัติงบ 49 ล้านยูโรเพื่อกระชากตัว คริสเตียน วิเอรี่ มาจาก ลาซิโอ ที่กลายเป็นสถิติโลกในเวลานั้น นอกจากนี้ภายในช่วงซัมเมอร์เขายังยอมเปย์เพื่อดึงตัวผู้เล่นอย่าง ดิโน่ บาจโจ้, อันเจโล่ เปรุซซี่, โลร็องต์ บล็องก์, คริสเตียน ปานุชชี่ และ วลาดิเมีย ยูโกวิช รวมถึง อิบัน กอร์โดบ้า และ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ เข้ามาในช่วงหน้าหนาว และแม้ทีมจะได้ตัว มาร์เซลโล่ ลิปปี้ ผู้ที่ช่วยบันดาลแชมป์มากมายให้กับ ยูเวนตุส ก่อนหน้านี้เข้ามานั่งเก้าอี้คุมทีมก็ตาม แต่ผลงานที่ดีที่สุดภายในซีซั่นนี้ก็คือการได้เข้าชิง โคปปา อิตาเลีย ที่ตกเป็นฝ่ายพ่ายให้กับ ลาซิโอ 2-1 ในขณะที่จบอยู่ในอันดับที่ 4 ของตารางคะแนน

2003 – ภายใต้การคุมทีมเป็นซีซั่นที่ 2 ของ เอคตอร์ กูเปร์ อดีตเทรนเนอร์ บาเลนเซีย ก็ทำให้ทีมที่พึ่งคว้าตัว เอร์นาน เครสโป เพื่อเข้ามาทดแทน โรนัลโด้ ที่ย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ในช่วงซัมเมอร์ บวกกับสตาร์หน้าใหม่อย่าง ฟาบิโอ คันนาวาโร่ และ มาเทียส อัลเมด้า กลับมามีโอกาสลุ้นแชมป์อีกครั้ง และทีมก็ทำได้ใกล้เคียงที่สุดด้วยการจบในอันดับที่ 2 โดยเป็นรอง ยูเวนตุส ทีมแชมป์อยู่ 7 คะแนน

2005 – สโมสรประกาศเปิดตัว โรแบร์โต้ มันชินี่ เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ในช่วงซัมเมอร์ พร้อมกับผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง จูเซปเป้ ฟาวัลลี่, ซินิซ่า มิไฮโลวิช, ฮวน เซบาสเตียน เวรอน, เอสเตบัน กัมบิอัสโซ่ และ เอ็ดการ์ ดาวิดส์ ซึ่งก็ทำให้ทีมเล่นได้อย่างเหนียวแน่นมากขึ้นโดยแพ้ไปเพียงแค่ 2 ครั้งตลอดทั้งฤดูกาลแต่ก็หนักไปในทางเสมอเสียมากกว่า ก่อนจะจบฤดูกาลนั้นในอันดับที่ 3 และคว้าแชมป์ อิตาเลียน คัพ สมัยที่ 4 ได้สำเร็จจากการบุกไปอัด โรม่า ได้ 2 เม็ดที่ กรุงโรม จากฝีเท้าของ อาเดรียโน่ ก่อนจะกลับมาย้ำชัยในบ้านได้ 1-0 จาก มิไฮโลวิช พวกเขายังตามมาเก็บถ้วย ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า ได้อีกจากการเอาชนะ ยูเวนตุส 1-0 ในช่วงต้นซีซั่นถัดมา

สโมสรประกาศเปิดตัว โรแบร์โต้ มันชินี่ เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ในช่วงซัมเมอร์

2006 – อินเตอร์ ประกาศแยกทางกับ คริสเตียน วิเอรี่ ที่ตัดสินใจเปลี่ยนสีเสื้อไปอยู่กับ เอซี มิลาน หลังเคยช่วยกระหน่ำประตูในลีกให้ทีมมาร่วมร้อยตุง โดยได้สตาร์หน้าใหม่เข้ามาเป็น หลุยส์ ฟิโก้ และ วอลเตอร์ ซามูเอล จาก เรอัล มาดริด ทั้งคู่ ก่อนที่ทีมจะผ่านเข้าไปป้องกันแชมป์ โคปปา อิตาเลีย กับ โรม่า คู่ต่อสู้เมื่อปีที่ผ่านมาและก็ยังทำผลงานได้ดีกว่าจากการไปบุกไปยันเสมอในนัดแรก 1-1 ก่อนจะกลับมาถล่ม 3-1 ใน ซาน ซีโร่ และกลายเป็นแชมป์สมัยที่ 5 ในรายการนี้ เดิมทีพวกเขาจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 3 รองจาก เอซี มิลาน และ ยูเวนตุส ทีมแชมป์ แต่แล้วในช่วงซัมเมอร์หลังการประกาศคำตัดสินคดีทุจริต กัลโช่โปลี ที่มีบทลงโทษตัดแต้ม มิลาน 30 คะแนนและคำสั่งให้ ยูเว่ ถูกปรับตกชั้นลงไปพร้อมกับริบแชมป์ในซีซั่นก่อน ก็ทำให้ อินเตอร์ ผงาดขึ้นมาครองตำแหน่งแชมป์ เซเรีย อา เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี

2007 – ในขณะที่ ยูเวนตุส ต้องลงไปชดใช้กรรมอยู่ใน เซเรีย บี และ เอซี มิลาน ออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ด้วยแต้มติดลบ 8 คะแนนก็ทำให้พวกเขาอยู่ในฐานะเต็งจ๋าที่จะเป็นแชมป์ แม้จะมีข่าวเศร้าในช่วงต้นเดือนกันยายนจากการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งของ จาซินโต้ ฟัคเค็ตติ ประธานสโมสรผู้ลาโลกไปด้วยวัย 64 ปี แต่ มันชินี่ ที่ได้ตัวยอดแข้งรายใหม่มาทั้ง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, ปาทริค วิเอร่า, ฟาบิโอ กรอสโซ่ และ ไมค่อน ก็ทำผลงานได้ตามที่คาดหวัง แถมยังสร้างสถิติเก็บชัยชนะรวดได้ถึง 17 เกม ก่อนจะพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวต่อ โรม่า 3-1 ในบ้านตนเองตอนช่วงกลางเดือนเมษายน แต่แล้วในแมตช์ถัดมาพวกเขาก็บุกไปเอาชนะ เซียน่า 2-1 จนทำแต้มทิ้งขาด โรม่า และการันตีการเป็นแชมป์สมัยที่ 15 ภายในซีซั่นที่ มาร์โก มาเตรัซซี่ กองหลังทีมชาติอิตาลีผู้รับบทตัวร้ายในศึก เวิลด์ คัพ 2006 จะครองตำแหน่งดาวซัลโวอันดับที่ 3 ของทีมจากผลงาน 10 ประตูในลีก นอกจากนี้ทีมยังผ่านเข้าไปป้องกันแชมป์ อิตาเลียน คัพ เป็นปีที่สองแต่คราวนี้กลับถูก โรม่า ถอนแค้นด้วยการเอาชนะไปด้วยสกอร์รวมแบบถล่มทลาย 7-4

2008 – หลังพ่ายให้กับ โรม่า อีกครั้งในเกม อิตาเลียน ซูเปอร์คัพ ตอนช่วงออกสตาร์ทซีซั่น พวกเขาก็เดินหน้าเก็บแต้มได้อย่างสูสีกับ หมาป่าแห่งกรุงโรม ก่อนจะเบียดเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 1 โดยทำคะแนนได้มากกว่าคู่แข่งลุ้นแชมป์อยู่ 3 แต้ม ในขณะที่ อินเตอร์ ยังได้เข้าชิง โคปปา อิตาเลีย ที่ต้องมาดวลกับ โรม่า เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งครั้งนี้เป็นการตัดสินกันในแมตช์เดียว โดยที่ ทีมหมาป่า กุมความได้เปรียบจากการลงเตะใน สตาดิโอ โอลิมปิโก รังเหย้าของตนเองและเป็นฝ่ายเอาชนะไป 2-1 จนกระทั่งหลังสิ้นสุดฤดูกาล โมรัตติ ก็สั่งปลด มันชินี่ โดยให้เหตุผลว่ารู้สึกผิดหวังจากผลงานในถ้วยยุโรปที่ตกรอบ 16 ทีม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยน้ำมือของ ลิเวอร์พูล

2009 – สโมสรประกาศแต่งตั้ง โชเซ่ มูรินโญ่ ขึ้นมารับตำแหน่งคุมทีม และผลงานชิ้นแรกของเขาก็คือการถอนแค้น โรม่า ในถ้วย ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า ที่เอาชนะ โรม่า ได้ในการดวลจุดโทษ เดิมที กุนซือชาวโปรตุเกส หวังจะใช้แผนการเล่น 4-3-3 ที่มี อามันติโน่ มันชินี่ และ ริคาร์โด้ กวาเรสม่า คอยขนาบข้าง อิบราฮิโมวิช แต่แทคติกนี้ก็ถูกพับเก็บไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะหันมาลองใช้ 4-3-1-2 ที่มี เดยัน สแตนโกวิช คอยรับบทบาทเพลย์เมคเกอร์อยู่หลังคู่ศูนย์หน้าที่พยายามใช้ทั้ง อาเดรียโน่, เครสโป และ อังเดร ครูซ ก่อนจะมาลงตัวสุดที่ มาริโอ บาโลเตลลี่ จนทำให้ เนรัซซูร์รี่ ติดเครื่องยาวและเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 1 โดยทำแต้มทิ้งห่างผู้ตามทั้ง ยูเวนตุส และ เอซี มิลาน อยู่ 10 คะแนน.

สโมสรประกาศแต่งตั้ง โชเซ่ มูรินโญ่ ขึ้นมารับตำแหน่งคุมทีม

2010 – มูรินโญ่ ปรับเปลี่ยนโฉมหน้าทีมใหม่ด้วยการแลกตัว อิบราฮิโมวิช กับ ซามูเอล เอโต้ ของ บาร์เซโลน่า เพื่อมายืนจับคู่กับ ดีเอโก้ มิลิโต้ ที่ย้ายมาจาก เจนัว ในขณะที่ยังเสริมแดนกลางด้วย ติอาโก้ ม็อตต้า และ เวสลี่ย์ สไนเดอร์ ผู้มารับบทบาทในการปั้นเกมรุก พร้อมกับ ลูซิโอ เซ็นเตอร์แบ็คชาวบราซิลที่เข้ามาเป็นตัวเลือกในแดนหลัง ซึ่งไฮไลต์สำคัญของฤดูกาลนี้อยู่ที่การชิงชัยในถ้วยยุโรปโดยที่ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์จากการเป็นที่ 2 ของกลุ่ม F รองจาก บาร์เซโลน่า และสามารถผ่าน เชลซี, ซีเอสเคเอ มอสโก และมาสยบ บาร์ซ่า ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ลงได้ในรอบตัดเชือกก่อนจะก้าวขึ้นไปชิงชนะเลิศกับ บาเยิร์น มิวนิค ที่ มิลิโต้ รับบท แมน ออฟ เดอะ แมตช์ จากการเหมาคนเดียว 2 ประตูในชัยชนะ 2-0 ซึ่งนอกจากการครองบัลลังก์ยุโรปได้เป็นสมัยที่ 3 มูรินโญ่ ยังช่วยบันดาลโทรฟี่ให้กับทีมเพิ่มอีก 2 รายการจากชัยชนะ 1-0 ในนัดปิดฤดูกาลเหนือ เซียน่า ด้วยประตูชัยของ มิลิโต้ ที่ทำให้ทีมคว้าแชมป์ สคูเด็ตโต้ และ หัวหอกเลือดฟ้าขาว ยังมาช่วยให้ทีมเอาชนะ โรม่า คู่ชิงใน อิตาเลียน คัพ ด้วยสกอร์ 1-0 อีกด้วย จนทำให้ อินเตอร์ กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ลูกหนังอิตาลีที่สามารถครองทริปเปิ้ลแชมป์ได้

2011 – หลังการจากไปของ มูรินโญ่ ที่ไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ทีมก็ได้ ราฟาเอล เบนิเตซ เข้ามาทำหน้าที่ต่อ ท่ามกลางตลาดนักเตะที่ได้ตัว จามเปาโล ปาซซินี่ และ อันเดรีย ราน็อคเคีย สองสตาร์ชาวอิตาเลียนมาจาก ซามพ์โดเรีย และ เจนัว ตามลำดับ และยอมปล่อยตัว มาริโอ บาโลเตลลี่ ออกไปให้กับ แมนฯ ซิตี้ ในราคา 30 ล้านยูโร แม้จะเริ่มต้นเอาฤกษ์เอาชัยได้จากการเอาชนะ โรม่า 3-1 ในรายการ อิตาเลียน ซูเปอร์ คัพ แต่แล้วพอถึงแค่ช่วงปลายเดือนตุลาคม เอล บอส ก็ต้องกระเด็นหลุดออกจากตำแหน่งเพื่อสังเวยให้กับผลงานที่น่าผิดหวัง และกลายเป็น เลโอนาร์โด้ อดีตกุนซือของ เอซี มิลาน ที่เข้ามาเสียบแทน ก่อนที่เขาจะช่วยกระตุ้นให้ผลงานของทีมดีขึ้นจนสามารถจบฤดูกาลในอันดับที่ 2 และยังสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ โคปปา อิตาเลีย โดยจัดการสยบ ปาแลร์โม่ 3-1 และคว้าแชมป์บอลถ้วยสมัยที่ 7 มาครองได้สำเร็จ

2012 – หลังจบฤดูกาลด้วยมือเปล่าในอันดับที่ 6 และผ่านการเปลี่ยนแปลงผจก.ทีมถึง 3 รายในซีซั่น 2011-12 พอถึงช่วงต้นเดือนสิงหาคม โมรัตติ ประกาศขายหุ้นบางส่วนให้กับ เคนเน็ธ ฮวง นักธุรกิจชาวจีน และยังมีการประกาศจับมือร่วมกับ China Railway Construction Corporation Limited บริษัทรับเหมารายใหญ่สัญชาติจีน ในโครงการก่อสร้างสนามเหย้าแห่งใหม่ ก่อนที่ดีลทั้งหลายจะถูกยกเลิกในภายหลัง

2013 – ในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2013 กลุ่มกิจการค้าร่วมสัญชาติอินโดนีเซียที่นำโดย เอริค โธเฮียร์ บรรลุข้อตกลงในการกว้านซื้อหุ้นส่วน 70% ของสโมสรจาก Internazionale Holding S.r.l. โดยหลังจากการโอนย้ายเสร็จสิ้นลง โมรัตติ ก็จะยังคงเหลือหุ้นส่วนอยู่ประมาณ 29.5% ในขณะที่ผลงานการคุมทีมในฤดูกาล 2012-13 ของ อันเดรีย สตรามัชโชนี่ ก็ทำได้น่าผิดหวังจากการจบในอันดับที่ 9

2014 – ทีมงูใหญ่ มอบหมายให้ วอลเตอร์ มาซซาร์รี่ เข้ามาเป็นเทรนเนอร์ และจากการได้ตัว เมาโร อิคาร์ดี้ หัวหอกดาวรุ่งชาวอาร์เจนติน่า ที่มาจับคู่กับ โรดริโก้ ปาลาซิโอ ได้อย่างลงตัว ก็ทำให้ทีมขยับขึ้นมาจบในอันดับที่ 5 โดยในซีซั่นนั้นยังเป็นฤดูกาลอำลาชีวิตค้าแข้งของ ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ กัปตันทีมจอมเก๋าที่อยู่รับใช้สโมสรมายาวนาน 19 ปี

2015 – หลังจากก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของทีมคนใหม่พร้อมกับนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน โธเฮียร์ ผู้ที่ยังถือครองกรรมสิทธิ์ของสโมสรกีฬาอื่นๆที่รวมถึง ดีซี ยูไนเต็ด ทีมใน เมเจอร์ลีก ซอกเกอร์ ก็ได้ทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางบัญชีและการลงทุนต่างๆจนกระทั่งมามีปัญหาขัดต่อกฎ ไฟแนนเชียล แฟร์ เพลย์ ของ ยูฟ่า จนโดนโทษปรับและสั่งแบนจากเกมยุโรป ในขณะที่ผลงานการออกสตาร์ทในลีกของ มาซซาร์รี่ ก็ค่อนข้างกระท่อนกระแท่นจนโดนปลดออกไปในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2014 ก่อนที่ โรแบร์โต้ มันชินี่ จะถูกตามกลับมาทำหน้าที่ต่อและประคองทีมไปจนจบในอันดับที่ 8 ภายในซีซั่นที่ อิคาร์ดี้ แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวในฐานะดาวซัลโวร่วมของลีกที่ยิงไปทั้งหมด 22 ประตูเท่ากับ ลูก้า โทนี่ ของ เวโรน่า

2016 – มันชินี่ ได้โอกาสคุมทีมตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาลและช่วยให้ผลงานของ อินเตอร์ ดีขึ้นจากการจบในอันดับที่ 4 ต่อมาในช่วงต้นเดือนมิถุนายน Suning Holdings Group กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่สัญชาติจีนที่นำโดย จาง จินตง ตกลงเซ้งหุ้นส่วนที่อยู่ในมือของทั้ง โธเฮียร์ และ โมรัตติ ที่คิดเป็นมูลค่าราว 270 ล้านยูโร จนกระทั่งดีลทั้งหมดสิ้นสุดลงในช่วงปลายเดือนและทำให้ Suning Holdings Group กลายเป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่รายใหม่ของสโมสรที่ 68.55%

2017 – หลังจากประกาศแยกทางกับ มันชินี่ ภายหลังออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ได้เพียงแค่ไม่กี่วัน แฟรงค์ เดอ บัวร์ ก็ถูกแต่งตั้งให้เข้ามารับหน้าที่ต่อ แต่หลังจาก 11 นัดผ่านไปด้วยผลชนะ 4 เสมอ 2 แพ้ 5 พอถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน สเตฟาโน่ ปิโอลี่ ก็กลายเป็นผจก.ทีมคนใหม่ที่คุมทีมไปจนก่อนจะถึง 3 นัดสุดท้าย และเปลี่ยนมาเป็น สเตฟาโน่ เว็คคี่ ที่เข้ามาช่วยเก็บตกในเกมที่เหลือโดยที่พวกเขาจบฤดูกาลในอันดับที่ 7

2018 – ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ อดีตกุนซือของ โรม่า เปิดตัวในฐานะกุนซือคนใหม่ของ เนรัซซูร์รี่ พร้อมกับการก้าวเข้ามาของแข้งรายใหม่ที่นำโดย มิลาน สคริเนียร์ ปราการหลังชาวสโลวาเกีย จาก ซามพ์โดเรีย, โรแบร์โต้ กายาร์ดินี่ มิดฟิลด์ชาวอิตาลี จาก อตาลันต้า รวมถึง มาเทียส เวชิโน่ กองกลางชาวอุรุกวัย และ บอร์ฆา บาเลโร่ มิดฟิลด์จอมเก๋าชาวสเปน ที่ย้ายมาจาก ฟิออเรนติน่า ทั้งคู่ ก่อนที่ทีมจะกลับมาคว้าสิทธิ์ลงเตะใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกครั้งจากการเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 4

ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ อดีตกุนซือของ โรม่า เปิดตัวในฐานะกุนซือคนใหม่ของ เนรัซซูร์รี่

ผู้สนับสนุนและศัตรูคู่อริ

อินเตอร์ มิลาน เป็นหนึ่งในสโมสรที่มีแฟนบอลคอยสนับสนุนมากที่สุดภายในประเทศ จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาฐานแฟนบอลส่วนใหญ่ภายในเมืองที่ตั้งของพวกเขาก็คือกลุ่มชนชั้นกลางขึ้นไป ในขณะที่กองเชียร์ของทางฝั่ง เอซี มิลาน มักจะเป็นพวกชนชั้นแรงงาน Boys San คือชื่อกลุ่มกองเชียร์อุลตร้าดั้งเดิมของทีม โดยหลังจากการก่อตั้งในปี 1969 พวกเขาก็ขยับขึ้นมาบทบาทในวงการลูกหนังมาอย่างต่อเนื่องภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่านี่คือกลุ่มอุลตร้าที่เก่าแก่ที่สุดกลุ่มหนึ่ง โดยปกติแล้วพวกเขามักจะถูกจัดว่าเป็นพวกที่ฝักใฝ่ในการเมืองฝั่งขวาและมีความสนิทสนมกลมเกลียวกันดีกับกลุ่มอุลตร้าของ ลาซิโอ บรรดากองเชียร์ที่ส่งเสียงดังที่สุดของ อินเตอร์ มักจะไปรวมตัวกันอยู่บนอัฒจันทร์ทางตอนเหนือของ ซาน ซีโร่ หรือที่มีชื่อโซนว่า Curva Nord และจากวัฒนธรรมการเชียร์ที่สืบทอดกันมายาวนานก็ทำให้เหล่าผู้สนับสนุนเดนตายที่อยู่ในพื้นที่ตรงนั้นกลายเป็นที่จดจำจากการเป็นเจ้าของแผ่นป้ายแบนเนอร์ขนาดใหญ่และการเป็นผู้ที่คอยโบกธงนำเชียร์ในสนาม เนรัซซูร์รี่ มีทีมคู่แข่งมากมาย ซึ่ง 2 ในนั้นก็ถือเป็นคู่ปรับที่สำคัญของวงการลูกหนังอิตาลี อันดับแรกจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก เอซี มิลาน ทีมคู่ปรับร่วมเมือง โดยมี ดาร์บี้ เดลล่า มาดอนนิน่า เป็นชื่อเรียกในการพบกันของ 2 ทีมบิ๊กเนมแห่งเมืองมิลาน ที่มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1908 เมื่อคราวที่ อินเตอร์ ตัดสินใจแยกตัวออกมาจาก มิลาน

ชื่อของ มิลาน ดาร์บี้ มีที่มาจากรูปปั้นของ พระแม่มารี ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใน มหาวิหารแห่งมิลาน หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของเมือง ซึ่งในการพบกันของทั้งคู่มักจะมาพร้อมกับบรรยากาศอันน่าตื่นตะลึงที่ประดับประดาไปด้วยแผ่นป้ายแบนเนอร์ที่มีทั้งข้อความขบขันและเกรี้ยวกราดชวนให้ฝั่งตรงข้ามหัวร้อน ในอดีตที่ผ่านมามักมีการนำพลุไฟมาใช้และคอยจะสร้างปัญหาอยู่เป็นประจำระหว่างการแข่งขัน โดยเฉพาะที่กลายเป็นต้นเหตุทำให้เกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศเลกสองของฤดูกาล 2004-05 ที่ทั้งคู่โคจรมาพบกันเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2005 ต้องถูกยกเลิกไป หลัง ดิด้า นายทวารชาวบราซิลของ มิลาน ถูกพลุไฟที่จุดจากฝั่งกองเชียร์ของ อินเตอร์ เข้าที่หัวไหล่ และอีกหนึ่งคู่ปรับที่สำคัญของพวกเขาก็คือ ยูเวนตุส โดยการพบกันระหว่างทั้งคู่จะถูกเรียกว่า “ดาร์บี้ ดีตาเลีย” (Derby d’Italia) หรือ ดาร์บี้แห่งอิตาลี จากที่ทั้ง 2 ฝ่ายมักจะคอยเบียดลุ้นตำแหน่งจ่าฝูงมาด้วยกันบ่อยครั้งในแต่ละฤดูกาล ก่อนคดีอื้อฉาว กัลโช่โปลี จะโป๊ะแตกขึ้นมาจนทำให้ ทีมม้าลาย ต้องรับโทษให้ลงไปเล่นอยู่ใน เซเรีย บี มีเพียงพวกเขา 2 ทีมเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดอยู่ในเวที เซเรีย อา มาได้โดยตลอด นอกจากนี้พวกเขายังเป็น 2 สโมสรที่มีฐานแฟนบอลมากที่สุด 2 อันดับแรกของประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ อตาลันต้า และ นาโปลี ก็ยังถือเป็นทีมคู่แข่งของ อินเตอร์ เช่นเดียวกัน