ล้วงประวัติ เรอัล มาดริด ราชันชุดขาวแห่งสเปน

ล้วงประวัติ เรอัล มาดริด ราชันชุดขาวแห่งสเปน

สโมสรฟุตบอลเรอัล มาดริด สโมสรฟุตบอลอาชีพของสเปน ตั้งอยู่ในเมืองมาดริด ก่อตั้งขึ้นวันที่ 6 มีนาคมปี 1902 ในชื่อ สโมสรฟุตบอลมาดริด ใช้ชุดแข่งสีขาวมาตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งพวกเขาลงเล่นที่สนามซานติอาโก้ เบอร์นาบิว มาตั้งแต่ปี 1947 โดยมีความจุสนามกว่า 81,044 คน สโมสรแห่งนี้แตกต่างจากสโมสรอื่นๆ ตรงที่มีระบบสมาชิกเป็นเจ้าของสโมสรตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เรอัล มาดริดเป็นสโมสรที่มูลค่าถึง 3.47 พันล้านยูโร ซึ่งมีมูลค่ามากที่สุดในโลก และในปี 2018 พวกเขามีรายรับมากถึง 750.9 ล้านยูโร และเป็นสโมสรหนึ่งที่มีแฟนบอลมากที่สุดในโลก พวกเขาเป็นสมาชิกที่ร่วมก่อตั้งฟุตบอลลาลีกา และไม่เคยตกชั้นเลย เช่นเดียวกับอีก 2 ทีม แอธเลติก บิลเบา กับบาร์เซโลน่า โดยมีคู่ปรับของทีมคือบาร์เซโลน่าและแอตเลติโก้ มาดริด

เรอัล มาดริด เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทั้งในประเทศสเปนและระดับทวีปยุโรป เบื่อพวกเขาได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 5 ครั้งติดต่อกันจากการเข้าชิงทั้งหมด 7 ครั้ง ในระดับประเทศ พวกเขาคว้าแชมป์ 64 รายการ แบ่งเป็นลาลีกา 33 ครั้ง, โคปา เดล เรย์ 19 ครั้ง, ซูเปอร์โคปา สเปน 10 ครั้ง, Copa Eva Duarte 1 ครั้ง และ Copa de la Liga 1 ครั้ง ในระดับทวีปและระดับโลก พวกเขาได้แชมป์ทั้งหมด 20 รายการ โดยได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ หรือ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 13 ครั้ง, ได้แชมป์ยูฟ่าคัพ 2 ครั้ง, ได้แชมป์ยูฟ่าซุปเปอร์คัพ 4 ครั้ง และได้แชมป์สโมสรโลกทั้งหมด 7 ครั้ง

ช่วงเริ่มต้น (1902–1945)

จุดเริ่มต้นการก่อตั้งสโมสรเรอัล มาดริด เกิดขึ้นในปี 1897 เมื่อกลุ่มนักเรียนนักศึกษาจาก Cambridge และ oxford ได้ก่อตั้งสโมสรฟุตบอลขึ้นในในชื่อ โซเซียดาด ในกรุงมาดริด และพวกเขาลงเล่นในเช้าวันอาทิตย์ที่มอนค์เลา ในปี 1900 ได้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างสมาชิกในทีม ทำให้มีการแยกตัวออกมาตั้งสโมสรแห่งใหม่ ในชื่อNueva Sociedad de Football และ จูเลี่ยน ปาลาซิโอส์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานสโมสร จนกระทั่งปี 1901 สโมสรให้เปลี่ยนชื่อเป็น New Foot-Ball Club วันที่ 6 มีนาคมปี 1902 บอร์ดบริหารได้แต่งตั้งประธานสโมสรคนใหม่คือ ฆวน ปา ดรอส ถือเป็นการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลมาดริดขึ้นอย่างเป็นทางการ

ปี 1905 มาดริดคว้าแชมป์แรกหลังจากเอาชนะแอธเลติก บิลเบา

3 ปีหลังจากที่ก่อตั้งสโมสรขึ้น ปี 1905 มาดริดคว้าแชมป์แรกหลังจากเอาชนะแอธเลติก บิลเบา ในฟุตบอล spanish Cup รอบชิงชนะเลิศ โดยสโมสรได้ร่วมกันก่อตั้งสมาพันธ์ฟุตบอลของจะเป็นขึ้นในวันที่ 4 มกราคมปี 1909 หลังจากนั้นในปี 1912 สโมสรได้ย้ายสนามแข่งไปที่Campo de O’Donnell จนกระทั่งปี 1920 สโมสรได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น โดยได้รับชื่อใหม่จากกษัตริย์ อฟอลโล่ ที่ 13 ปี 1929 ฟุตบอลลีกสเปนได้ก่อตั้งขึ้น เรอัล มาดริดได้ลงเล่นตั้งแต่ฤดูกาลแรก แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่รองแชมป์ ก่อนจะมาคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกได้ในฤดูกาล 1931-32 และป้องกันแชมป์ได้ในฤดูกาลถัดมา

ซานติอาโก้เบอร์นาบิวและความประสบความสำเร็จในยุโรป (1945–1978)

ซานติอาโก้เบอร์นาบิวและความประสบความสำเร็จในยุโรป

ในปี 1945 เยสเต้ เข้ามาเป็นประธานของสโมสร เขาได้ย้ายสนามไปเล่นที่สนามซานติอาโก้ เบอร์นาบิว และได้ก่อตั้งศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งใหม่ขึ้นชื่อลา ฟาปริก้า หลังจากที่สนามเก่าได้รับความเสียหายจากสงครามกลางเมือง ในช่วงต้นปี 1953 เขาได้เซ็นสัญญานักเตะระดับโลกเข้ามาร่วมทีม นั่นก็คือ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่

ในปี 1955 ได้ร่วมก่อตั้งการแข่งขันฟุตบอลแชมป์เปี้ยนของยุโรปขึ้น หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันคือ UEFA Champions League โดยเรอัล มาดริดนั้น ประสบความสำเร็จทั้งในระดับประเทศและในระดับฟุตบอลยุโรป โดยพวกเขาได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพถึง 5 สมัยในช่วงปี 1956 ถึง 1960 จนกระทั่งปี 1966 พวกเขาก็ได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพเป็นครั้งที่ 6 โดยการเอาชนะปาร์ติซาน เบลเกรด 2 ประตูต่อ 1 ในรอบชิงชนะเลิศ ในยุค 1970 Real Madrid ก็ได้ ฟุตบอลลีก 5 สมัย และสเปนิช คัพ อีก 3 สมัย วันที่ 2 กรกฎาคม 1978 ประธานสโมสร ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว เสียชีวิตในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ประเทศอาร์เจนตินา ทางฟีฟ่าได้จัดให้มีการไว้ทุกข์เป็นเวลา 3 วัน ปีถัดมาสโมสรได้จัดพิมพ์ประวัติของ โทรฟีโอ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว กับอดีตประธานสโมสร

ช่วงเวลาแห่งการประสบความสำเร็จ(1980–2000)

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 สโมสรเรอัล มาดริดไม่สามารถคว้าแชมป์ลาลีกาได้

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 สโมสรเรอัล มาดริดไม่สามารถคว้าแชมป์ลาลีกาได้ แต่พวกเขาใช้เวลาไม่นาน ในการกลับมาอีกครั้งเพื่อแย่งแชมป์ลีก ด้วยการผ่านความช่วยเหลือของนักเตะใหม่ที่ช่วยนำพาสโมสรกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง นักข่าวกีฬาชาวสเปนคนหนึ่งที่ชื่อ คูลีโอ เซซาร์ อีเกลเซียส ได้ให้ฉายากับทีมรุ่นนี้ว่า กินตาเดลบุยเตร,ซึ่งได้มาจากชื่อเล่นหนึ่งในนักเตะของสโมสร, เอมีลีโอ บูตรากูเอโน และสมาชิกอีกสี่คนที่เหลือมี มานูเอล ซานชิส, มาร์ติน บัซเกซ, มีเชล และ มีกูเอล พาร์เดซา การซื้อผู้เล่นที่โดดเด่นและเป็นกำลังหลักของสโมสรในเวลาต่อมา อาทิ ฟรานซิสโก บูโย ผู้รักษาประตูชาวสเปน, มีเกล ปอร์ลัน เชนโด แบ็กขวาชาวสเปน และกองหน้าชาวเม็กซิโก อูโก ซานเชซ เรอัลมา ดริดจึงเป็นหนึ่งทีมที่ดีที่สุดในสเปนและยุโรปในช่วงปลายทศวรรษที่1980 ด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่าคัพ 2 สมัย, สเปนนิช แชมเปียนชิพ 5 สมัย, โคปา เดลเรย์ 1 สมัย และซูเปอร์โคปา สเปน อีก 3 สมัย ภายหลังฉายา กินตาเดลบุยเตร ได้หายไปจากแฟนบอลเรอัล มาดริด หลังจาก เอมีลีโอ บูตรากูเอโน, มาร์ติน บัซเกซ และมีเชลได้ย้ายออกไปจากสโมสร

ในปี ค.ศ.1996 ประธานสโมสร ลอเรนโซ ซานซ์ ได้แต่งตั้งให้ ฟาบีโอ กาเปลโล อดีตผู้จัดการทีมเอซี มิลาน เข้าเป็นผู้จัดการทีมให้กับสโมสร แม้ว่าเขาดำรงตำแหน่งเพียงแค่หนึ่งฤดูกาล, แต่เขาก็สามารถนำเรอัล มาดริดคว้าแชมป์ลีกได้ 1 สมัยและได้ซื้อผู้เล่นตัวเก่งมากมาย เช่น โรเบร์ตู การ์ลูส, เพรดรัก มีจาโตวิช, ดาวอร์ ซูเกอร์ และคลาเรนซ์ ซีดอร์ฟ เข้ามาเล่นร่วมกับผู้เล่นเดิมของสโมสรอย่างราอุล กอนซาเลซ, เฟร์นันโด เอียร์โร, อีวาน ซาโมราโน และเฟร์นันโด เรดอนโด เป็นผลทำให้เรอัล มาดริด สิ้นสุดวันที่รอคอยมา 32 ปี ในการคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพ สมัยที่ 7 ในปี 1998 ภายใต้การคุมทีมของจุปป์ ไฮน์เกส สโมสรสามารถเอาชนะสโมสรยูเวนตุสจากประเทศอิตาลี ไป 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ

โฟลเรนตีโน เปเรซ (2000–2006)

เรอัล มาดริดได้แต่งตั้งประธานสโมสรคนใหม่คือ โฟลเรนตีโน เปเรซ

หลังจากปี 1999 ที่สโมสรคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้เป็นสมัยที่ 8 ของสโมสร ด้วยการชนะบาเลนเซีย 3 ประตูต่อ 0 ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2000 สโมสรเรอัล มาดริดได้แต่งตั้งประธานสโมสรคนใหม่คือ โฟลเรนตีโน เปเรซ ซึ่งเป็นนักธุรกิจชาวสเปนที่รวยที่สุดในประเทศสเปน ณ เวลานั้น ในระหว่างหาเสียงของเขาเขาสัญญว่าจะจ่ายหนี้ของสโมสร และสร้างสิ่งทันสมัย​​และสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่สโมสร และด้วยสัญญานี้ทำให้เปเรซไปสู่ชัยชนะเลือกตั้ง ด้วยการซื้อนักเตะชื่อดังชาวโปรตุเกสอย่าง หลุยส์ ฟิโก้ นักเตะของสโมสรบาร์เซโลนา มาร่วมทีม ในปีถัดมาสโมสรเรอัล มาดริดได้สร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งใหม่ และได้เซ็นสัญญานักเตะระดับโลกเข้ามาร่วมทีมมากมาย นักข่าวสเปนเรียกว่า ลอส กาลาตีกอส โดยมีชื่อนักเตะชื่อดังในยุคนั้นอาทิเช่น ซีเนดีน ซีดาน, โรนัลโด, เดวิด เบคแคม, ฟาบีโอ กันนาวาโร, ลูอิช ฟีกู, โรเบร์ตู การ์ลูส และ ราอุล กอนซาเลซ นำสโมสรเรอัล มาดริดคว้าแชมป์ยูโรเปียนส์คัพ เป็นสมัยที่ 9 ของสโมสร ในปีถัดมาสโมสรก็สามารถคว้าแชมป์ ลาลีกา

ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.2003 หลังจากคว้าแชมป์ลาลีกาได้อีก 1 สมัย โฟลเรนตีโน เปเรซ และ คณะกรรมการด้านฝ่ายบริหารของสโมสรได้ปฏิเสธการต่อสัญญาฉบับใหม่ของ บีเซนเต เดล โบสเก หลังจากที่เกิดความคัดแย้งกับกัปตันทีมของสโมสร เฟร์นันโด เฮียร์โร เซ็นสัญญากับผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกส การ์รอส เคย์รอซ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมด้วยสัญญาคุมทีม 1 ฤดูกาล ซึ่งเคย์รอซก็สามารถนำสโมสรคว้าแชมป์ ซูเปร์โคปา สเปน ได้ 1 สมัยก่อนจะหมดสัญญากับสโมสร.ในช่วงฤดูกาล 2005-06 สโมสรได้ซื้อผู้เล่นคนใหม่เข้ามาเสริมทัพมากมาย เช่น จูลีโอ บาปติสตา, โรบินโญ่ และ เซร์คีโอ รามอส โดยในฤดูกาลนี้สโมสรได้เปลี่ยนผู้จัดการทีม 2 คน คนแรกคือ ฟาน เดอร์ เวิล ลักเซมบูร์กู และต่อมาเป็น ฆวน รามอน โลเปซ กาโร ในช่วงปลายปี 2005 โดยรามอสนำสโมสรได้รองชนะเลิศลาลีกาและทำผลงานไม่ค่อยดี จึงถูกยกเลิกสัญญา

รามอน กัลเดรอน (2006–2009)

สโมสรได้แต่งตั้งประธานสโมสรคนใหม่แทนเปเรซคือ รามอน กัลเดรอน

ในปี ค.ศ.2006 สโมสรได้แต่งตั้งประธานสโมสรคนใหม่แทนเปเรซคือ รามอน กัลเดรอน และสโมสรสามารถกลับมาคว้าแชมป์ลาลีกาได้อีกครั้ง ภายใต้การคุมทีมของ ฟาบีโอ คาเปลโล ที่ตัดสินใจกลับมาคุมทีมอีกครั้ง โดยในฤดูกาลนี้สโมสรขายนักเตะชื่อดังหลายคนไปมากมาย แต่เขาก็สามารถซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเสริมแทนตำแหน่งเดิมได้ อาทิ กอนซาโล อีกวาอิน กองหน้าชาวอาร์เจนตินา, มาร์เซลู วีเอรา กองหลังชาวบราซิล, รุด ฟาน นิสเติลรอย กองหน้าจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ต่อมาในปี ค.ศ.2007 สโมสรก็ต้องเปลี่ยนผู้จัดการทีมอีกครั้งหลังจากที่คาเปลโลอยู่กับสโมสรเพียงฤดูกาลเดียว ด้วยการเซ็นสัญญากับ แบรนด์ ชูสเตอร์ อดีตผู้เล่นในช่วงทศวรรษที่ 1980 ของสโมสร และสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมแทนคาเปลโล โดยชูสเตอร์ได้ซื้อผู้เล่นที่มีทั้งประสบการณ์และทักษะที่ดีมากมาย เช่น เปเป้, เวสลีย์ สไนเดอร์, อาร์เยน ร๊อบเบน, เจอร์ซี ดูเด็ก แต่ทีมไปเล่นใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ไม่ค่อยดีนัก แต่กลับทำผลงานในลีกได้ดี ด้วยการไม่แพ้ใครมา 9 เกมส์ก่อนจบฤดูกาล คว้าแชมป์ลาลีกาสมัยที่ 30 ของสโมสร

ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2008-09 ชูสเตอร์สามารถนำสโมสรคว้าแชมป์ ซูเปอร์โคปา สเปน ด้วยการชนะบาเลนเซีย ไป 6 ประตูต่อ 5 แต่แล้วชูสเตอร์ก็ถูกไล่ออกจากการผู้จัดการทีมโดยไม่ทราบสาเหตุทางสโมสรจึงแต่งตั้งให้ ฆวนเต รามอส เป็นผู้จัดการทีม แต่รามอสก็ไม่สามารถนำสโมสรประสบความสำเร็จในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ก็แพ้ปราชัยให้กับลิเวอร์พูล จากอังกฤษ ไป 5 ประตูต่อ 0 ในรอบ16 ทีมสุดท้าย ผลงานในลีกก็ทำได้แค่รองแชมป์ ซึ่งก็ทำให้รามอสโดนไล่ออกไป

การกลับมาของเปเรซ (2009–ปัจจุบัน)

โฟลเรนตีโน เปเรซ อดีตประธานของสโมสรได้กลับมารับดำรงตำแหน่งประธานสโมสรอีกครั้ง

วันที่ 1 มิถุนายน 2009 โฟลเรนตีโน เปเรซ อดีตประธานของสโมสรได้กลับมารับดำรงตำแหน่งประธานสโมสรอีกครั้ง โดยการกลับมาในครั้งนี้เปเรซมีนโยบายการซื้อนักเตะที่มีทักษะและฝีมือชั้นยอดเข้ามาสู่สโมสร โดยคนแรกที่เข้าซื้อมาคือ กาก้า กองกลางตัวรุกจากเอซี มิลาน ด้วยค่าตัว 65 ล้านยูโร และคริสเตียโน โรนัลโดจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 80 ล้านยูโร และได้เซ็นสัญญากับมานูเอลเปเยกรีนี ผู้จัดการทืมชาวชิลีเป็นเวลาหนึ่งฤดูกาล ซึ่งเปเยกรีนีก็ทำผลงานได้ดีในการคุมสโมสรด้วยการจบอันดับที่ 2 ในลาลีกา

หลังจากสัญญาการคุมทีมของเปเยกรีนีได้หมดลง เปเรซก็ตัดสินใจเซ็นสัญญากับโชเซ มูรินโญ่ ชาวโปรตุเกส ในเดือนพฤษภาคม 2010 ฤดูกาล 2010-11 สโมสรได้รองแชมป์ลาลีกา และ คริสเตียโน โรนัลโด ก็เป็นดาวซัลโวสูงสุดของลาลีกาในฤดูกาลนี้ด้วยการยิงประตูไป 40 ประตู ในฤดูกาล 2011-12 เรอัล มาดริดสามารถคว้าแชมป์ลาลีกามาได้เป็นสมัยที่ 32 ของสโมสร ด้วยการมีคะแนนทั้งหมด 100 คะแนน จากทั้งหมด 114 คะแนน ยิงประตูได้ถึง 121 ประตู และเสียประตูแค่ 32 ประตู ชนะทั้งหมด 32 เกมส์ เสมอ 4 เกมส์ และแพ้ 2 เกมส์ และคริสเตียโน โรนัลโด กลายเป็นผู้เล่นที่เร็วที่สุดในการทำประตูมากกว่า 100 ลูก ในประวัติศาสตร์ลีกสเปน โดยโรนัลโดทำประตู 101 ประตู จากการลงเล่นแค่ 92 เกมส์ ทำให้โรนัลโดแซงสถิติของเฟเรนส์ ปุชคัช อดีตนักฟุตบอลชาวฮังการีของสโมสรที่ทำประตูที่ 100 จากการลงเล่น 105 เกมส์ แล้วโรนัลโดยังเป็นผู้เล่นคนแรกของสโมสรที่ทำประตูสูงสุดในหนึ่งปีที่ 60 ประตู ยังเป็นผู้เล่นคนแรกที่ยิงประตูทั้ง 19 สโมสรในลาลีกาเพียงฤดูกาลเดียว แต่ในฤดูกาล 2012-13 สโมสรกลับมีปัญหามากมาย สโมสรไม่ได้แชมป์รายการใดๆ เลย ทำให้โมรินโญ่ ถูกไล่ออกในที่สุด

วันที่ 25 มิถุนายน 2013 สโมสรได้เซ็นสัญญา คาร์โล อันเชลอตตี ผู้จัดการทีมที่เคยเป็นตำนานนักเตะของเอซี มิลาน และคุมทีมคว้าแชมป์ยุโรปได้ถึงสองครั้งเป็นผู้จัดการทีม ในวันที่ 1 กันยายน สโมสรได้เซ็นสัญญากับแกเร็ธ เบล จากทอตแน่ม ฮอตสเปอร์ส ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ด้วยค่าตัวสถิติโลกถึง 100 ล้านยูโร ในฤดูกาลแรกของอันเชลอตตี ทีมสามารถคว้าแชมป์โคปา เดลเรย์ ด้วยการชนะบาร์เซโลนา สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นสมัยที่ 10 โดยชนะแอตเลติโก มาดริดในช่วงต่อเวลาพิเศษ ในฤดูกาลต่อมา เรอัล มาดริดทำสถิติชนะติดต่อกันถึง 21 เกมส์ ได้แก่ ลาลีกา 12 เกมส์, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 6 เกมส์, โกปาเดลเรย์ 2 เกมส์ และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 1 เกมส์ แต่ทีมจบฤดูกาลด้วยการไม่ได้แชมป์อะไรเลย ทำให้อันเชลอตตีถูกไล่ออกจากสโมสร

สโมสรได้เซ็นสัญญา คาร์โล อันเชลอตตี ผู้จัดการทีมที่เคยเป็นตำนานนักเตะของเอซี มิลาน

วันที่ 3 มิถุนายน 2015 สโมสรได้แต่งตั้ง ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้ที่เคยพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปี2005 เข้ามาคุมทีม ปรากฏว่าทำผลงานได้แย่มาก ชนะแค่ 11 จาก 18 เกมส์ในการคุมทีมตลอด 7 เดือน ทำให้เบนิเตซถูกปลดออกจากตำแหน่งในวันที่ 5 มกราคม2016 และได้แต่งตั้ง ซีเนอดีน ซีดาน ซึ่งในชณะนั้นคุมทีมสำรองอยู่เข้ามาคุมทีมแทน ช่วยให้ทีมคว้ารองแชมป์ลาลีกาโดยที่มีคะแนนตามบาร์เซโลน่าเพียงคะแนนเดียว และสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ หลังดวลจุดโทษชนะ แอตเลติโกมาดริด

ปี 2017 เรอัล มาดริด เอาชนะทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ในการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่าซุปเปอร์คัพ และได้แชมป์ซูเปอร์โคปา สเปน โดยการเอาชนะทีมบาเซโลน่า วันที่ 16 ธันวาคมปี 2017 เรอัล มาดริดได้แชมป์ฟุตบอล FIFA Club World Cup หลังเอาชนะ เกรมิโอ้ได้ 1 ประตูต่อ 0 ได้นัดชิงชนะเลิศ ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ในรายการนี้ครั้งแรกของสโมสร ในฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกปี 2018 พวกเขาได้แชมป์ หลังจากนั้นวันที่ 31 พฤษภาคม ซีเนดีน ซีดานตัดสินใจลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีม วันที่ 12 มิถุนายน 2018 สโมสรได้แต่งตั้ง จูเลน โลเพเตกี เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่