6 บทบาทมิดฟิลด์แห่งโลกลูกหนังยุคปัจจุบัน

6 บทบาทมิดฟิลด์แห่งโลกลูกหนังยุคปัจจุบัน

ยุคนี้มีกองกลางอะไรบ้าง ? มันเป็นคำถามที่ได้รับความสนใจในหมู่กูรูบอลเป็นอย่างมาก เพราะทุกวันนี้ฟุตบอลได้พัฒนาไปมากขึ้น การเล่นฟุตบอลในสนามก็มีความหลากหลายมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกับบทบาทของมิดฟิลด์ในสนามที่ทุกวันนี้ แตกแขนงออกไปได้หลากหลายชนิดเลยทีเดียว วันนี้เราเลยจะมาทำความรู้จักกับมิดฟิลด์ในบทบาทต่างๆกัน !

มิดฟิลด์ตัวรับสไตล์ “ทำลายล้าง”

ขึ้นชื่อว่าเป็นมิดฟิลด์สไตล์ทำลายล้างนั้นก็หมายความว่า นักเตะคนไหนของฝั่งตรงข้ามที่หลุดเข้ามา มิดฟิลด์ตัวรับสไตล์ทำลายล้าง ก็จะต้องไล่เตะ ไล่หวด แทคเกิล เสียบสกัด เบียดแย่งบอลหรือทำยังไงก็ได้เพื่อหยุดฝ่ายตรงข้ามให้ได้บางครั้งก็อาจจะรุนแรง จนอาจจะเสี่ยงต่อการได้ใบเหลือง บางครั้งก็ใช้วิธีแย่งบอล เบียดแย่งแบบคูลๆสักหน่อยก็แย่งบอลกลับมาได้แล้ว โดยมิดฟิลด์ตัวรับสไตล์ตัดเกมคู่แข่ง ก็มีให้เห็นมากมายเช่น ริโน่ กัตตูโซ่ ในอดีต หรือในยุคนี้ก็จะเป็น เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์

มิดฟิลด์ตัวรับสไตล์ “เรจิสต้า”

กองกลางตัวรับได้วิวัฒนาการขึ้นมาอีกแบบ นั่นคือทำหน้าที่เป็นเพลย์เมกเกอร์อีกคนหนึ่ง ที่คอยปักหลังอยู่หน้าแผงหลัง โดยนักเตะประเภทนี้ อาจจะไม่ได้มีหน้าที่ในการปะทะบอล แย่งบอล โดยจะมีมิดฟิลด์ตัวรับอีกคนคอยทำหน้าที่ไล่ปะทะ ไล่แย่งบอล อัดฟาล์วให้ และจากนั้นนักเตะรายนี้ ก็จะทำหน้าที่ในการวางบอลยาวจากแนวลึกในจังหวะโต้กลับเพื่อทำเกม โดยนักเตะแบบนี้จะต้องเป็นคนที่มีทักษะในการเปิดบอลยาวที่แม่นยำ และมีสกิลในการเอาตัวรอดมากพอสมควร โดย อันเดรีย ปีร์โล่ และ โทนี่ โครส คือตัวอย่างที่ชัดเจน

มิดฟิลด์ตัวกลางสไตล์ “โฮลดิ้งมิดฟิลด์”

มิดฟิลด์ตัวกลางสไตล์ “โฮลดิ้งมิดฟิลด์”

มิดฟิลด์ตัวกลางสไตล์โฮลดิ้ง ก็จะเป็นนักเตะที่ทำหน้าที่เชื่อมเกมระหว่างแนวรับและแนวรุกเข้าด้วยกัน เป็นตำแหน่งที่ต้องสร้างความบาลานซ์ให้กับทีม ผ่อนเกมรุกรับ ช้าเร็ว ทำให้เกมในแดนกลางอยู่ในการควบคุมของทีมให้ได้ เป็นตัวพักบอล ออกบอล วิ่งเชื่อมเกมกับเพื่อนเพื่อค่อยๆเปิดพื้นที่แนวรับของทีมฝั่งตรงข้าม ดังนั้นแล้วนักเตะตำแหน่งนี้จะต้องมีวิชั่นส์ที่กว้าง ผ่านบอลลูกสั้นลูกยาวได้แม่นยำ และต้องมีความสร้างสรรค์ในตัวที่ดีพอตัว โดยนักเตะแบบนี้ก็มีให้เห็นเช่น ชาบี้ เฮร์นานเดซ

มิดฟิลด์ตัวกลางสไตล์ “บ็อกซ์ทูบ็อกซ์”

มันคือมิดฟิลด์ที่เราเรียกกันติดปากว่า “มิดฟิลด์ไดนาโม” นั่นเอง โดยนักเตะแบบนี้จะต้องมีความฟิตและความอึดในการวิ่งไล่กวด ไล่บอล ปะทะ และยังต้องมีความแข็งแรงในการวิ่งเลี้ยงบอลฝ่าดงเท้าของทีมฝั่งตรงข้ามด้วยหน้าที่ของพวกเขาคือวิ่งพล่านไปทุกจุดของสนาม และจากนั้นก็อาจจะต้องพาบอลจากเขตโทษตัวเองขึ้นสู่เขตโทษฝั่งตรงข้ามเพื่อทำเกมหรือยิงประตู และถ้าหากเสียการครองบอล ก็จะต้องรีบกลับมายังแดนตัวเองเพื่อเล่นเกมรับ ซึ่งหมายความว่านักเตะสไตล์นี้นอกจากมีความอึดแล้วนั้น ยังต้องเล่นดีทั้งเกมรับและรุกเลยทีเดียวและนักเตะแบบนี้ ก็มีให้เห็นเช่น เฟเด้ บัลเบร์เด้ ของทีมเรอัล มาดริด

มิดฟิลด์ตัวริมเส้นสองข้าง

มิดฟิลด์ตัวริมเส้น สามารถแบ่งเป็นบทบาท “มิดฟิลด์ริมเส้น” และ “วิงแบ็ก” โดยถ้าหากเป็นมิดฟิลด์ริมเส้นธรรมดาๆ ก็จะมีหน้าที่ในการทำเกมริมเส้น สร้างเกมรุกเพรียวๆ ก็ต้องมีทักษะในการเลี้ยงบอล มีความเร็วพอตัว และถ้าหากเปิดบอลแม่นหรือมีทักษะในการเลี้ยงบอลตัดเข้าในเพื่อยิงประตูด้วยก็ยิ่งดีส่วนวิงแบ็กนั้น จะถูกใช้ในระบบ 3-5-2 หรือ 3-4-3 ซึ่งวิงแบ็กนั้นจะต้องวิ่งมากหน่อย โดยต้องวิ่งขึ้นลงทางริมเส้นอยู่ตลอดเวลา

มิดฟิลด์ตัวรุกสไตล์ “หมายเลข 10”

มิดฟิลด์ตัวรุกสไตล์ “หมายเลข 10”

เพลย์เมกเกอร์หมายเลข 10 นั่นเอง เป็นตำแหน่งสุดคลาสสิกที่นักบอลระดับตำนานหลายๆคนชอบเล่นกัน โดยจะมีหน้าที่ในการทำเกมรุกอยู่หลังกองหน้าตัวเป้า คอยเลี้ยงบอล จ่ายบอลทะลุช่องทำลายแนวรับ ยิงจากนอกเขตโทษ ยิ่งถ้าหากว่าสามารถเลี้ยงบอลเข้าไปยิงเองหรือรับหน้าที่สังหารฟรีคิกได้ด้วย มันจะทำให้หมายเลข 10 ดูสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว