หนทางเข้ารอบ UCL ของหงส์แดงกับปัญหาเกมรุกที่ขาดหายไป

หนทางเข้ารอบ UCL ของหงส์แดงกับปัญหาเกมรุกที่ขาดหายไป

มันอาจไม่ใช่ปัญหาที่ ลิเวอร์พูล ต้องประสบพบเจอเท่าไรนักภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่หากพวกเขาหวังที่จะโค่น นาโปลี ลงในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้เพื่อผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขาจำเป็นจะต้องปรับปรุงคุณภาพในแดนหน้าให้ดียิ่งขึ้น

หงส์เดง ทำผลงานในถ้วยยุโรปได้อย่างน่าประทับใจในการออกไปเป็นทีมเยือนเมื่อฤดูกาลที่แล้วก่อนจะผ่านเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่เหตุการณ์ก็กลับตาลปัตรไปอย่างสิ้นเชิงในซีซั่นนี้ หลังพวกเขาบุกไปพ่ายให้กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 2-1 เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา หลังตกเป็นฝ่ายตามหลัง 2-0 ลิเวอร์พูล มีโอกาสกลับเข้าสู่เกมเมื่อ เจมส์ มิลเนอร์ ทำหน้าที่สังหารจุดโทษเข้าไปเพียงไม่กี่อึดใจก่อนจะหมดครึ่งแรก แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้สร้างความยากลำบากใจให้กับ เปแอสเช เท่าไรนัก เมื่อทีมเจ้าถิ่นสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อยู่หมัดในช่วง 45 นาทีหลัง

แม้ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้กับแผงหลังของ PSG ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างเหนียวแน่น แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล ในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ยังมีความหมายอีกว่า พวกเขาตกเป็นฝ่ายปราชัยจากการออกไปเยือนทั้งหมด 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม C โดยที่ลูกจุดโทษของ มิลเนอร์ ในนัดล่าสุดก็กลายเป็นประตูเดียวที่ทีมทำได้ในเกมนอกบ้าน จริงอยู่ที่แนวรับของพวกเขาดูจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ขาดหายไปก็คือเกมบุกที่กลับไม่ไหลลื่นเหมือนดั่งที่เคยเป็นมา รวมถึงการสร้างสรรค์โอกาสเข้าทำก็ดูจะลดน้อยลงไปตามๆกัน

สิ่งที่แฟนบอลส่วนใหญ่น่าจะรู้สึกคุ้นตาในซีซั่นที่แล้วก็คือ ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่มีเขี้ยวเล็บแหลมคมและพร้อมจะเล่นงานคู่ต่อสู้อยู่เสมอ พวกเขาดูมีศักยภาพที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ในทุกขณะ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับค่อยๆจางหายไปในฤดูกาลปัจจุบัน

สามประสาน SMF

แน่นอนว่าสิ่งที่สาวก เดอะ ค็อป สัมผัสได้ในเวลานี้ก็คือ 3 ผู้เล่นในแนวรุกของทีมยังโชว์ฟอร์มได้ไม่เข้าที่เข้าทางเหมือนในซีซั่นที่แล้ว ซาดิโอ มาเน่ ทำผลงานได้ค่อนข้างโดดเด่นในเกมที่ ปารีส และดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้เล่นในแนวรุกเพียงคนเดียวที่สร้างความอันตรายให้กับแนวรับฝั่งตรงข้ามได้ เขามักพาตัวเองเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่ได้ลุ้น พยายามอย่างเต็มที่ในการสร้างความเป็นไปได้ที่จะช่วยทีมตีเสมอ และคอยวิ่งขึ้นลงเพื่อช่วยเหลือเกมรับในยามจำเป็นอย่างไม่หยุดหย่อน แต่มันก็เป็นอีกครั้งที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าผิดหวัง เขาไม่สามารถเก็บบอลเอาไว้กับตัว หรือทำหน้าที่ในการช่วยประสานงานให้กับผู้เล่นคนอื่นๆในขณะที่จะรุกขึ้นไปข้างหน้า ลูกจ่ายหลายๆจังหวะของเขาก็ไม่เข้าเป้ารวมถึงสัมผัสบอลแรกที่ยังทำได้ไม่ดีเท่าไรนัก และในขณะที่หลายๆคนต่างพากันพูดว่า โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ กำลังกลับเข้าสู่ฟอร์มโหดอีกครั้ง แต่ที่แน่ๆก็คงไม่ใช่กับในเกมนี้ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นใน ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ ก็คือ ซุปตาร์ชาวอียิปต์ พยายามจะเน้นใช้ความสามารถเฉพาะตัวจนดูเหมือนฝืนเกินไปในหลายๆจังหวะ เขายังดูขาดการประสานงานกับเพื่อนร่วมทีม

บอลยาวไม่ได้ผล

อะไรคือสิ่งที่ขาดหายไป?

เราไม่สามารถโยนความผิดทั้งหมดไปที่ 3 ผู้เล่นแนวรุก เหมือนดั่งที่ มาร์ค ลอว์เรนสัน ตำนานกองหลัง ลิเวอร์พูล ได้กล่าวเอาไว้หลังจบเกมที่ ปารีส ว่า ทีมไม่ได้พยายามสร้างสรรค์โอกาสให้มากเพียงพอเหมือนดั่งที่เคยทำไว้ในซีซั่นที่แล้ว อย่างที่ใครๆมักจะคุ้นตากันว่า 3 ผู้เล่นกองกลางของพวกเขาจะเน้นทำหน้าที่ปกป้องแผงแบ็คโฟร์ และคอยก่อกวนให้คู่ต่อสู้ทำงานได้ยากลำบาก แต่ก็ต้องแลกกับโอกาสในการดันเกมขึ้นสูงที่จะขาดหายไป และนั่นก็คือข้อแตกต่างที่สำคัญจากฤดูกาลที่ผ่านมา และยังเป็นสาเหตุที่อธิบายได้อย่างชัดเจนว่าทำไมเกมรับของทีมถึงดูดีขึ้นได้ขนาดนี้

ทุกๆครั้งที่ หงส์แดง พยายามพาบอลไปข้างหน้า ทั้ง มิลเนอร์ และ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ก็จะพยายามประคองพื้นที่อยู่ตรงกลางสนาม ในขณะที่ก่อนหน้านี้พวกเขายังมีกองกลางหนึ่งคนที่พร้อมจะทะยานขึ้นไปช่วยเล่นบอลกับ 3 ประสานในแดนหน้า ด้วยแทคติกก่อนหน้านี้ ก็จะทำให้แผงหลังของฝั่งตรงข้ามเผลอเปิดช่องว่างให้กับ มาเน่, ฟีร์มิโน่ และ ซาลาห์ สามารถสอดขึ้นไปสร้างความอันตรายได้ แต่เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงระยะหลังๆ และนี่ก็คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสิทธิภาพในเกมบุกของพวกเขาลดน้อยลงไป

บอลยาวไม่ได้ผล

สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกข้อหนึ่งในเกมล่าสุดก็คือ การพยายามเปิดบอลยาวหลายครั้งของ ลิเวอร์พูล ที่ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าแผงกองกลางของทีมวางแนวไว้อยู่ต่ำเพียงใด แทนที่จะเน้นการเคลื่อนที่และช่วยกันเชื่อมเกมขึ้นไปเหมือนในซีซั่นที่แล้ว จากความพยายามที่จะมองหาบรรดาผู้เล่นแนวรุกก่อนจะผ่านบอลให้กับพวกเขาในระยะ 10-15 หลา ทีมกลับเลือกที่จะสาดบอลยาวจากระยะ 30-35 หลาให้ขึ้นไปลุ้นกันข้างหน้า มันอาจไม่ใช่แนวทางการเล่นที่คุ้นเคยของ ลิเวอร์พูล แต่มันคือสิ่งที่ คล็อปป์ จัดการเปลี่ยนแปลงไปในช่วงปรีซีซั่น และพยายามยึดถือมาโดยตลอดตั้งแต่ช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล แต่ก็ว่าไม่ได้เพราะหมากที่ กุนซือชาวเยอรมัน วางเอาไว้สัมฤทธิ์ผลเป็นอย่างดีใน พรีเมียร์ลีก เมื่อทีมรั้งตำแหน่งรองจ่าฝูงอยู่ในขณะนี้ โดยที่ยังไร้พ่ายและเสียไปเพียงแค่ 5 ประตูจาก 13 เกมที่ผ่านมา แต่แทคติกในฤดูกาลใหม่ของเขากลับไม่ได้ผลเท่าที่ควรกับเกมยุโรป

การเพรสซิ่งที่ถดถอยลงไป

ลิเวอร์พูล จะหาจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการป้องกันและการเข้าโจมตีได้อย่างไร? มันอาจดูเป็นเรื่องง่ายสำหรับโค้ชคีย์บอร์ดในโลกโซเชี่ยลที่มักจะชี้ลงไปว่า ทีมควรเลือกใช้ผู้เล่นกองกลางประเภทผึ้งงานเพียง 2 คนและใส่ เซอร์ดาน ชากิรี่ ลงไปช่วยประสานงานกับ 3 ผู้เล่นในแนวรุก แน่นอนว่าในทางทฤษฎีมันจะช่วยสร้างไดนามิคของเกมในพื้นที่สุดท้ายได้ดีขึ้น แต่นั่นอาจไม่ใช่ทั้งหมดเพราะมีสิ่งที่แตกต่างกันหลายเรื่องเมื่อเทียบกับซีซั่นก่อน อย่างเช่น แนวทางในการเข้าเพรสซิ่งของ 3 ประสานในแดนหน้าที่เปลี่ยนไป ซึ่งก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่มาจากไอเดียใหม่ๆของ คล็อปป์

บางทีเขาอาจจะมีความคิดว่า หากเขาต้องการจะเซฟแรงของทีมไว้ปลดปล่อยในยามที่ได้เล่นเกมรุก ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการให้ลูกทีมไปขัดขวางการขึ้นเกมจากแนวรับฝั่งตรงข้ามมากนัก แต่ในยามที่พวกเขาบีบเข้าใส่คู่แข่งเหมือนที่ผ่านๆมา แผงกองกลางของ ลิเวอร์พูล จะขยับเข้าไปใกล้กับแนวของฝั่งตรงข้าม โดยที่แผงหลังของทีมก็จะดันขึ้นสูงตามมาด้วย หงส์แดง สามารถเล่นงานคู่ต่อสู้ได้หลายๆครั้งหลังเป็นฝ่ายแย่งชิงบอลกลับมาครองได้ แต่ดูเหมือนว่าในซีซั่นนี้ทีมไม่ค่อยได้สร้างโอกาสลุ้นจากที่เคยตัดบอลได้ในพื้นที่ของคู่แข่งเหมือนสมัยที่ยังเล่นเกมเพรสซิ่งแบบเต็มสูบ

สามประสาน SMF

ช่วงเวลาแห่งการพิสูจน์

ในสายตาแฟนบอลส่วนใหญ่ ทุกสิ่งที่ คล็อปป์ เคยทำไว้ในซีซั่นที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับความสำเร็จที่ทำให้พวกเขาทะยานไปได้ไกลจนถึงนัดชิงดำในเวทียุโรป ล้วนมาจากแนวทางการเล่นที่ชัดเจน ลิเวอร์พูล ในซีซั่น 2017-18 สามารถผ่านคู่ต่อสู้เกมแล้วเกมเล่าได้ด้วยเกมบุก พวกเขาเป็นทีมที่สร้างความเพลิดเพลินให้กับบรรดากองเชียร์ที่แท้ทรู

หลังจากนัดเปิดฤดูกาลล่าสุดที่ทีมสามารถถล่ม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ยับเยิน 4-0 เชื่อว่าแฟนบอลหลายๆคนคงเริ่มรู้สึกฝันหวานกับฟอร์มการเล่นที่ชวนว้าว และคงมีความรู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยมว่านี่คือทีมเดียวกับที่เคยสร้างความประทับใจได้ในซีซั่นที่แล้ว แต่ไปๆมาๆเรากลับยังไม่เคยเห็นฟอร์มที่ไหลลื่นม้วนเดียวจบของพวกเขาอีกเลยนับตั้งแต่นั้น

การเปลี่ยนแปลงสไตล์การเล่นอาจสร้างความรู้สึกขัดใจให้กับแฟนบอลบางส่วน แต่คุณต้องไม่ลืมว่าผลลัพธ์ที่ปรากฏให้เห็นในตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก นั้นน่าประทับใจเพียงใด แม้ทีมจะยังขาดความไหลลื่นอย่างที่เคยเป็นมา หากลองหันกลับไปมองในซีซั่นก่อน หลังผ่านพ้น 13 เกมไปแล้ว ลิเวอร์พูล ยังคงอยู่ในอันดับที่ 6 และมีแต้มตามหลัง แมนฯ ซิตี้ ทีมจ่าฝูงอยู่ถึง 14 คะแนน มันช่างเป็นอะไรที่แตกต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อเทียบการรั้งตำแหน่งรองจ่าฝูง และตามหลัง เรือใบสีฟ้า อยู่ติดๆเพียงแค่ 2 คะแนนในขณะนี้

อันที่จริงแล้วโอกาสผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ UCL ยังคงอยู่ในมือของ ลิเวอร์พูล หากแต่ทีมก็ต้องพยายามงัดฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมออกมาหากต้องการผลลัพธ์ที่ได้ดั่งใจในการเผชิญหน้ากับ นาโปลี พวกเขาต้องการชัยชนะขาดแบบ 2 ประตูขึ้นไปโดยไม่ต้องใส่ใจว่าจะโดนยิงประตูในบ้านหรือไม่ หรืออย่างน้อยสกอร์ 1-0 โดยที่ไม่เสียประตูใน แอนฟิลด์ ก็ยังเพียงพอต่อการเข้ารอบ นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการแสดงให้เห็นว่า หงส์แดง มีดีแค่ไหน ทีมยังมีความแข็งแกร่งเพียงใด และพวกเขาจะสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อลบข้อกังขาถึงคุณภาพของเกมที่แตกต่างกันระหว่างใน พรีเมียร์ลีก และกับบอลถ้วยยุโรปได้หรือไม่

ช่วงพักเบรกทีมชาติระหว่าง 2-3 เดือนแรกของฤดูกาลเป็นอะไรที่น่ารำคาญใจยิ่งนัก สำหรับการทำงานที่ค่อยๆเน้นสร้างทีมขึ้นมา เนื่องจากบรรดาผู้เล่นหลายๆคนที่มักจะทยอยหายหน้าหายตากันไป มันจึงกลายเป็นเรื่องง่ายที่ทีมจะสูญเสียโมเมนตัมบางอย่าง แต่ คล็อปป์ ก็รู้ดีว่าหลังจากนี้ เขาจะได้อยู่กับลูกทีมแบบยาวๆไปจนถึงเดือนมีนาคม ดังนั้นมันจึงเป็นโอกาสที่เขาจะได้ลุยงานอยู่ต่อเนื่องในแต่ละสัปดาห์ และพยายามปลุกชีพ เครื่องจักรสีแดง ให้กลับมามีเกมรุกที่น่าเกรงขามอีกครั้ง

อะไรคือสิ่งที่ขาดหายไป