ซามูเอล เอโต้ ของดีที่มาดริดพลาดแล้วพลาดเลย

ซามูเอล เอโต้ ของดีที่มาดริดพลาดแล้วพลาดเลย

ถ้าหากคุณพูดถึงชื่อนักเตะที่เด่นดังของ เรอัล มาดริด จะมีใครบ้างโดยเฉพาะในช่วงปลายยุค 90 พวกเขาก็มีทั้ง ราอูล กอนซาเลซ , เฟร์นานโด เรดอนโด้ , ซานติอาโก้ คานซิยาเรซ , เฟร์นานโด เอียร์โร่ , โรแบร์โต้ คาร์ลอส และอีกหลายๆคนเลยทีเดียวที่เป็นโคตรนักเตะระดับซุปตาร์ของพวกเขาและที่สำคัญคือ หลายๆคนในทีมเรอัล มาดริด ไม่ได้มีแค่ฝีเท้าที่ดีเท่านั้น แต่บางคนทั้งหุ่น ทั้งผิวพรรณหน้าตาดูสมาร์ท เป็นนักแสดง เป็นนายแบบได้เลยแต่ว่านักเตะรายหนึ่งที่ เรอัล มาดริด ครั้งหนึ่งเคยมีเขาอยู่ในทีม ซึ่งไม่รู้ว่าทุกวันนี้ เรอัล ยังจำได้หรือไม่ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยมีชายคนที่ชื่อ “ซามูเอล เอโต้” ตำนานนักเตะชาวกาฬทวีปอยู่หลายๆคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่า เอโต้ ถือได้ว่าเป็นสุดยอดตำนานกองหน้าที่ดีที่สุดคนหนึ่งของทวีปแอฟริกา เขาเป็นตำนานของทีมชาติแคเมอรูนที่เทียบชั้นกับ โรเจอร์ มิลล่า ตำนานดาวยิงในทีม ! อ้อ … คงจะมาจำได้เอาตอนที่พวกเขาโดน เอโต้ รัวประตูใส่ตอนที่เข้าย้ายไปเล่นให้กับ บาร์เซโลนา คู่แค้นตลอดชาติใน

เอล คลาซิโก้ นั่นเองน่ะแหละ

เอล คลาซิโก้ นั่นเองน่ะแหละ

ของพวกเขาได้เลยและเมื่อย้ายมาเล่นให้กับ เรอัล มายอร์ก้า เขายังทำประตูได้มากมายจนได้ย้ายมาเล่นให้กับ บาร์เซโลนา ซึ่งในบทบาทเสื้อหมายเลข 9 ของทีมบาร์เซโลนา เขากระหน่ำประตูได้เป็นว่าเล่นจนได้รางวัลดาวยิงสูงสุดลาลีกา 2005-06 มาแล้ว และได้แชมป์ยุโรปร่วมกับบาร์ซ่าถึง 2 สมัย แชมป์อีกสารพัดรายการ ติดท็อปลิสต์ดาวยิงอันดับต้นๆของสโมสรด้วย สถาปนาตัวเองเป็นตำนานลูกหนังบาร์ซ่ารายแรกที่เป็นชาวแคเมอรูนอีกด้วยนับว่าน่าเสียดายที่ครั้งหนึ่ง เอโต้ เคยเป็นนักเตะของ มาดริด แต่มันก็ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่เข้มแข็ง สามารถรับมือกับความกดดันได้ในปี 1996 เอโต้ ในสมัยที่เป็นดาวรุ่ง เขาได้เดินทางมาถึงสนามบินในกรุงมาดริดเพื่อเตรียมเข้าสังกัด เรอัล มาดริด … เด็กผิวเข้มที่เดินทางมาไกลจากกาฬทวีป ไร้ชื่อเสียง ไร้คนสนใจ บางคนในสนามบินยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดาวเตะร่างผอมรายนี้ เป็น “ว่าที่นักเตะใหม่ของทีมระดับ เรอัล มาดริด”ถ้าหากว่าเป็นสตาร์คนอื่นๆ ย้ายมาเล่นให้กับ เรอัล มาดริด ย่อมมีการประโคมข่าวซะเยอะ มีแฟนบอลมารอคอยต้อนรับถึงที่สนามบิน รุมล้อม รุมขอลายเซ็น มีแต่นักข่าวมารุมสัมภาษณ์ กว่าจะเดินทางถึงออฟฟิศของสโมสรก็ลำบากสุดๆ กว่าจะฝ่าฝูงชนมาได้แต่ในกรณีของเอโต้นั้น “เงียบราวป่าช้า” เขาต้องหาทางเดินทางไปยังสโมสรด้วยตัวเอง โดยสโมสรส่งตัวแทนมารับเขาแค่นั้น แถมในช่วงเวลาอยู่กับ มาดริด เขาไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากสโมสรเลย เขาพยายามฝึกปรือฝีเท้าอยู่ในทีมเยาวชนของมาดริดตั้งแต่ปี 1996 จนมีชื่ออยู่ในทีมชุดใหญ่ในปี 1997แต่ถึงกระนั้นแล้ว ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่อยู่กับมาดริดชุดใหญ่ เขาโดนส่งไปเล่นแบบยืมตัวกับทั้ง เลกาเนส , เอสปันญอล และลงตัวสุดๆกับการเล่นให้กับ

เรอัล มายอร์ก้า ที่ซึ่งเขาทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ

เรอัล มายอร์ก้า ที่ซึ่งเขาทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ
แต่กับมาดริดน่ะเหรอ 3 ปีกับทีมชุดใหญ่ ได้ลงเล่นแค่ 3 เกมเท่านั้น คิดง่ายๆ เฉลี่ยปีละ 1 เกมถ้วน สโมสรมองว่านักเตะนอกอียู ต้องติดต่อขอเอกสารนั่นนี่ก็ยาก แถมในช่วงเวลาดังกล่าวพวกเขายังมองว่า เอโต้ ไร้ความเป็นสตาร์ ไม่มีอะไรเป็นจุดขายหรือจุดดึงดูดอะไรเลย พวกเขาเลือกที่จะปล่อยตัว เอโต้ ไปเล่นให้กับ เรอัล มายอร์ก้า เป็นการถาวรในปี 2000 แบบไม่ได้คิดอะไรให้เยอะและในปี 2005 เอโต้ เหมือนจะรู้ดีว่าการที่เขาได้ย้ายมาเล่นให้กับ บาร์เซโลนา เรียบร้อยแล้วนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่จะสั่งสอนให้ มาดริด รู้ซึ้งไปเลยว่าคิดผิดที่ปล่อยเขาพ้นทีมเมื่อปี 2000 ก็คือการยิงใส่มาดริดในเอล คลาซิโก้ ซะเลยเอล คลาซิโก้ 2005-06 เลกแรกที่ เบร์นาเบว บาร์เซโลนา บุกไปทะลวงมาดริด 3-0 คาบ้าน โดยที่ในเกมนี้ เอโต้ ยิงได้ 1 ตุง มันคือการเอาคืนแบบสาสมในเวลาแค่ 5 ปี5 ปีเพิ่งได้แก้แค้นก็ไม่สาย … มาดริดก็คงจดจำไปชั่วชีวิตเช่นกัน