คริสเตียโน่ โรนัลโด้ … เรื่องราวของชายผู้ไม่เคยยอมแพ้แต่คำวิจารณ์และสภาพร่างกาย

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ … เรื่องราวของชายผู้ไม่เคยยอมแพ้แต่คำวิจารณ์และสภาพร่างกาย

เมื่อคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้เดินทางกลับมาซ้อมและเตรียมลงทำศึกให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นฤดูกาลที่ 4 ของตัวเองหลังจบการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2006 เขาดูมีทัศนคติในการเล่นที่กว้างขึ้น เซนส์บอลสูงขึ้น และรูปร่างก็ดูแข็งแกร่งขึ้น ถ้าให้เทียบกับสมัยที่เขาย้ายมาอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นครั้งแรกในปี 2003ในเวลานั้น เขาถูกมองว่าเป็นเด็กผู้ชายหุ่นบางๆที่มีดีแต่สับขาหลอก บางทีก็หลอกตัวเองไปด้วยในการเล่นช่วงแรกๆ แต่ผ่านไป 3 ปีตัวของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก ตอนนี้เขากลายเป็นยอดผู้เล่นไปแล้ว โดยเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันรับ ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเวลานั้นได้อาสาทำหน้าที่ดูแลเขาเหมือนกับที่เขาเคยทำกับเอริค คันโตน่าเมื่อหลายปีก่อนจะว่าไปตอนนั้นมันก็มีความกลัวอยู่พสมควรว่า เขาจะย้ายออกจากสโมสรในช่วงซัมเมอร์นั้น หลังจากการที่เขาได้เผชิญหน้ากับ เวย์น รูนี่ย์ กองหน้าชาวอังกฤษซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งมันทำเอาทั้งคู่เกือบฆ่ากันตาย เมื่อโปรตุเกสเขี่ยอังกฤษตกรอบออกจากทัวร์นาเมนต์ด้วยการดวลจุดโทษ โดยโรนัลโด้ทำประตูได้ด้วยหนึ่งตุง แต่ช็อตเด็ดก็คือ การขยิบตาไปที่ม้านั่งสำรองอย่างมีเลศนัยของเขา มันทำให้เขาถูกตราหน้าว่าเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของแฟนบอลอังกฤษไปเลยในเวลานั้นไม่ว่ามันจะเป็นยังไงในเวลานั้น แต่สำหรับสองกองหน้าอายุน้อยทั้งสองรายในเวลานั้น ได้ลืมความบาดหมางตอนเล่นให้กับทีมชาติตัวเองไปแล้ว พวกเขาผนึกกำลังกันยิงประตูได้มากมาย มันทำให้พวกเขาพัฒนากลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ไปได้ในที่สุด โดยเกมที่ทั้งคู๋จับคู่ยิงประตูกันได้มันส์เท้าเลย มันได้เกิดขึ้นในเกมนัดเปิดสนาม เมื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถไล่ยำเอาชนะฟูแล่ม ไปด้วยสกอร์ 5-1 เลยทีเดียว

จากเหตุดราม่าในช่วงซัมเมอร์บนเวทีระดับโลก

จากเหตุดราม่าในช่วงซัมเมอร์บนเวทีระดับโลก

มันได้ทำให้ โรนัลโด้ แข็งแกร่งขึ้น ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เขาได้เริ่มต้นสร้างตำนานของตัวเองขึ้นมาในปีนั้น และสำหรับโค้ชทุกคนที่ทันเห็นช่วงเวลาแห่งการอีโวขึ้นมาของ โรนัลโด้ ก็สามารถยืนยันได้เลยว่าบุคคลที่มีอิทธิพลต่อโรนัลโด้มากที่สุด จนทำให้เขากลายเป็นกองหน้าที่ยิ่งใหญ่ได้นั้นก็หนีไม่พ้นคนชื่อ เฟอร์กูสัน นั่นแหละโรนัลโด้ ได้ยกย่องให้เฟอร์กูสัน เป็นพ่อคนที่สองของเขาเลยทีเดียว และทั้งคู๋ก็สนิทสนมกันมาจนถึงทุกวันนี้ด้วยเมื่อครั้งที่ โรนัลโด้ ยังเป็นวัยรุ่นนั้น เขาเป็นนักเตะที่ผอมแห้ง ร่างบาง ไร้กล้ามเนื้อ ยิงบอลเป็นแต่เท้าขวาด้วยซ้ำ แต่ความสามารถทางด้านเทคนิคการเลี้ยบอล และศักยภาพของเขานั้นมันสามารถเติมเต็มและพัฒนาได้ว่ากันว่าอีกคนที่มีส่วนสำคัญในการผลักดัน โรนัลโด้ ให้ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะที่แกร่งกว่าเดิม มีสภาพร่างกายที่บึกบึนได้ นั่นก็คือตัวของ วอลเตอร์ สมิธ ตำนานผู้จัดการผู้ล่วงลับชาววิสกี้ที่มาทำงานเป็นผู้ช่วยของ เฟอร์กูสัน ในช่วงปี 2003 นั่นเอง สมิธ ซึ่งตอนนั้นทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของเฟอร์กี้เป็นการชั่วคราว ได้มีโอกาสทำงานกับ โรนัลโด้ และได้แนะนำนโยบายการซ้อมแข่งแบบ “ไม่มีการฟาวล์” ในการฝึกซ้อม ซึ่งมันช่วยให้ โรนัลโด้ ยอมเปลี่ยนทัศนคติและวิธีการเล่นของเขาได้ในทันทีเพื่อเลี่ยงอาการบาดเจ็บและใช้สมองในการเล่นมากขึ้น หันมาขุนร่างกายตัวเองให้แกร่งมากขึ้น

เมื่อตอนที่เริ่มต้นฤดูกาล 2006/07

เมื่อตอนที่เริ่มต้นฤดูกาล 2006/07

เชลซีที่เป็นแชมป์เก่าพรีเมียร์ลีก ได้เพิ่มผู้เล่นระดับโลกเข้ามาอยู่ในทีมหลายคน โดยเฉพาะกับ อันเดร เชฟเชงโก้ สุดยอดตำนานกองหน้าชาวยูเครน ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ปล่อยตัวของ รุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้าชาวดัตช์ไปให้เรอัล มาดริด โดยไม่ได้หาใครมาแทนที่เขา แต่ผู้จัดการทีมรายนี้ก็มีความเชื่อมั่นในตัวดาวรุ่งของเขา ทั้งโรนัลโด้และรูนี่ย์ที่ต่างก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของทีมได้ โดยทำประตูได้ 23 ประตูในทุกรายการ จบฤดูกาลด้วยการเป็นตัวทำประตูสูงสุดอันดับสามและสี่ตามลำดับ และยังได้เหรียญแชมป์พรีเมียร์ลีกหนแรกมาครองได้ด้วยคำวิจารณ์ที่ทำให้ โรนัลโด้ รู้สึกอึดอัดและอยากพิสูจน์ตัวเองเพื่อตอกกลับนักวิจารณ์มากที่สุดในช่วงก่อนฤดูกาลนั้นจะเริ่มต้นก็คือว่า เขายังจบสกอร์ไม่คม เขาอาจจะมีจังหวะการเลี้ยงบอลที่เร็ว เทคนิคเฉพาะตัวจัดจ้านเหมือนนักฟุตซอล การสับขาหลอกที่ทำให้ฟูลแบ็คฝั่งตรงข้ามจั่วลมเสมอเวลาจะสกัด แต่การจบสกอร์และการเปิดบอลของเขายังขาดๆเกินๆอยู่ แต่ในฤดูกาลนั้น เขาก็ได้เริ่มโชว์แล้วว่าเขาคมแค่ไหนจากวันนั้นถึงวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียวที่ โรนัลโด้ จะพัฒนามาได้จนกลายเป็นนักเตะบัลลงดอร์ห้าสมัย แต่ว่าการที่เขาทำผลงานได้ดีสม่ำเสมอและสู้ ไม่ยอมถอยมาตลอด ก็นั่นแหละคือรางวัลของเขาไงล่ะ