ส่องกล้องย้อนรอย ฟุตบอลเยอรมันกับสโมสร ไฟร์บวร์ก (Sport Club Freiburg e.V.)

ส่องกล้องย้อนรอย สโมสร ไฟร์บวร์ก

ไฟร์บวร์ก (Sport-Club Freiburg e.V.) หรือเจ้าของฉายา จิ้งจอกแห่งป่าดำ ตามที่คนไทยตั้งให้ เป็นสโมสรฟุตบอลขนาดเล็กที่มีอายุอานามมามากถึง 116 ปี ทีมฟุตบอลที่ไม่ได้ใหญ่และไม่ได้มีชื่อเสียงมากสักเท่าไหร่ในวงการลูกหนังเมืองเบียร์แต่พวกเขาก็เป็นสโมสรเก่าแก่ที่ร่วมกันผลักดันให้กับวงการฟุตบอลของประเทศจนได้รับความนิยมของคนทั่วโลก พวกเขามักจะวนเวียนลงเล่นอยู่ในลีกสูงสุดกับลีกรองของฟุตบอลเยอรมันตั้งแต่ช่วงปี คศ.1954 และยังเป็นสโมสรที่สร้างตำนานนักเตะชื่อดังอย่าง โยอาคิม เลิฟ เจ้าของดาวซัลโวลสูงสุดตลอดการของสโมสรแห่งนี้โดยการลงสนามให้กับ ไฟร์บวร์ก ไป 252 แมตช์ยิงไป 81 ประตู นับว่าเป็นอีกหนึ่งสโมสรที่มีความหมายมาถึงในยุคปัจจุบันเพราะ โยอาคิม เลิฟ ในปัจจุบันเขายังคงทำหน้าที่เป็นหัวเรือให้กับทีมฟุตบอลประเทศของเยอรมันแถมยังเคยพาทีมชาติเยอรมันเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้วด้วย สนามเหย้าของพวกเขายังคงใช้สนามเดิมที่มาตั้งแต่ปี คศ.1954 มาจนถึงยุคปัจจุบันคือสนาม ชาร์ซวัลด์ สตาดิโอน ที่ปัจจุบันรองรับผู้เข้ามาชมเกมได้มากสุด 24,000 คน สิ่งที่เป็นบันทึกสำคัญอีกอย่างของ จิ้งจอกแห่งป่าดำ คือการมีกุนซืออย่าง โฟลเคอร์ ฟิงเค่ ที่ทำหน้าที่มายาวนานที่สุดของประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองเบียร์ หากจะให้ไล่ทามไลน์ย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต สโมสรแห่งนี้ถูกก่อตั้งเมื่อวันเท่าไหร่ไม่แน่ชัดแต่เกิดขึ้นราวปี คศ. 1904 ช่วงเดือน มีนาคม เป็นการรวมทีมของสโมสรฟุตบอลในท้องถิ่น ต่อมาได้มีการก่อตั้งทีมฟุตบอลที่ชื่อว่า Freiburger Fußballverein 04 ขึ้นมาก่อนที่จะมีอีกสโมสรตามมาอีกสองเดือนให้หลังนั่นก็คือ FC Schwalbe Freiburg ต่อมาในปี 1905 จากชื่อที่เคยใช้ว่า FC Schwalbe Freiburg พวกเขาก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อใหม่ว่า FC Mars และยังไม่จบปีต่อมาก็เปลี่ยนชื่ออีกเป็น Union Friburg ส่วนทางฝั่งของ Freiburger Fußballverein 04 ก็ไม่น้อยหน้าเช่นกันพวกเขามาเปลียนชื่ออีกครั้งในช่วง คศ.1909 เป็น Sportverein Freiburg 04 ภายหลังจากที่แตกคอกันมาสักพักทั้งสองทีมก็กลับมารวมตัวกันเป็นทีมเดียวกันพร้อมกับใช้ชื่อใหม่อีกครั้งว่า เอสซี ไฟร์บวร์ก บวกกับการใช้รูปตราสโมสรด้วยการใส่สัญลักษณ์หัวนกกริฟฟิน เข้าไปในโลโก้ในปี 1912 ต่อมาอีก 6 ปีหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งดูท่าเหมือนจะสงบลงพวกเขากลับมารวมตัวกันกับสโมสร Freiburger FC เพื่อให้มีนักเตะเพียงพอในการลงสนามเข้าร่วมในการแข่งขันฟุตบอลระดับท้องถิ่นและได้ใช้ชื่อทีมฟุตบอลชั่วคราวว่า KSG Freiburg ดูเหมือนว่าสโมสรแห่งนี้จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อสโมสรอยู่บ่อยครั้งหลังจากนั้นอีกไม่นานในฤดูกาล 1918 พวกเขาสังคายนาชื่อใหม่อีกครั้งเป็น FT 1844 Freiburg แต่แล้วด้วยปัญหาหลายๆอย่างของทีมไม่ค่อยลงตัวในลีกภูมิภาคในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจรวมตัวกับสโมสรใหญ่ที่เล่นอยู่ในลีกสูงสุดชื่อว่า PSV Freiburg 1924 ต่อมาหนึ่งปีให้หลังจากการรวมทีมปี 1928 พวกเขาตกชั้นลงมาเล่นในลีกรองทำให้ภายในทีมเกิดความปั่นป่วนอยู่หลายฤดูกาลที่ผลงานของทีมไม่กระเตื้องขึ้นและแล้วการแยกย้ายก็เกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง พวกเขากลับไปตั้งหลักรวมตัวกันที่แหล่งเดิมโดยใช้ชื่อเดิมว่า FT 1844 Freiburg หลังจากที่พวกเขากลับมาตั้งถิ่นฐานอยู่แหล่งเดิมในช่วงปี คส.1938 ทีมไม่มีการพัฒนาไปไหนจนกระทั่งไฟสงครามโลกครั้งที่ 2 หมดยุคของลัทธินาซี ก็ได้มีการจัดตั้งกฎระเบียบขึ้นมาใหม่จากฝ่ายพัทธมิตรโดยมีข้อตกลงว่าไม่อนุญาติให้องค์กรส่วนใหญ่ในประเทศคงอำนาจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำใดๆที่เกี่ยวข้องวกับเรื่องราวที่ผ่านๆมาในสมัยที่ยังมี นาซี ปกครอง เป็นเหตุให้มีการรื้อฟื้นสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้งพร้อมกับสถาปณาชื่อสโมสรใหม่ว่า เฟาเอสแอล ไฟร์บวร์ก ขึ่นมาอยู่ช่วงหนึ่ง จนปี 1950 หลังจากความเห็นชอบของฝ่ายปกครองของ ฝรั่งเศส สโมสรได้รับอนุญาติให้กับมาใช้ชื่อทีมเดิมได้อีกครั้งพร้อมกับอัตลักษณ์หรือชุมชนที่เคยมีมาในดั้งเดิมที่เคยเป็นมาแต่แล้ว ไฟร์บวร์ก ก็ตีตัวออกมาจากวงในภายต้ายสโมสร FT 1844 Freiburg เพื่อยืนยัดด้วยตัวเองหลังจากที่ถอยตัวออกมาพวกเขาเล่นอยู่ในดิวิชั่น 3 ของเยอรัมัน หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบเกมลีกใหม่เป็น บุนเดสลีก้า เยอรมัน จนกระทั่งในปี 1978-79 พวกเขาสามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นอยู่ในดิวิชั่น 2 ของเยอรมันได้สำเร็จต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่พวกเขาจะสามารถครองแชมป์ลีก 2 ของเยอรมันและเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุด โดยพวกเขาทำได้ในปี 1993 เป็นประวัติศาสตร์ของสโมสรที่สามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดของประเทศได้สำเร็จซึ่งเป็นความภูมิใจของแฟนบอลเนื่องจากพวกเขามาจากกลุ่มสมาชิกที่ไม่ได้ใหญ่แต่เต็มไปด้วยความพยามจนทำให้สโมสรแห่งนี้ได้รับคำชมว่าเป็นทีมฟุตบอลที่มีสปิริตมากๆอีกหนึ่งทีมของประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองเบียร์ การเปิดตัวในลีกสูงสุดเกิดขึ้นในปี คส.1994 ผู้ทำหน้าที่เป็นกุนซือคือ โฟลเคอร์ ฟิงเค่ เขาพา ไฟร์บวร์ก เลื่อนชั้นขึ้นมาได้และพอมาวาดลวดรายฝีไม้รายมือในซีซั่นใหม่พวกเขากับโชว์ฟอร์มออกมาได้ไม่ดีจนเกือบที่จะตกชั้นลงไปโดยที่รั้งอยู่ในโซนอันตรายเพียงแต่ว่าด้วยอัตราลูกได้เสียที่ดีกว่าทำให้พวกเขารอดตายไปได้อย่างหวุดหวิดในปีต่อมา ฟิงเค่ สร้างความน่าประทับใจให้กับแฟนบอลได้ช็อค!กันไปตามๆกันเนื่องเพราะเขาทำให้ทีมจบฤดูกาลในปี 1995 ด้วยการครองอันดับ 3 ของตารางคะแนนไว้ได้ทำให้ได้สิทธิ์ในการผ่านเข้าไปเล่นในศึกฟุตบอล ยูฟ่า คัพ ของฤดูกาลหน้าแต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในการผ่านทะลุเข้าไปถึงรอบลึกสักเท่าไหร่ ต่อมาไม่นานหลังจบฤดูกาล 1997 พวกเขาติดอยู่ในอันดับที่ 17 ของลีกทำให้ทีมต้องล่วงชั้นลงสู่ดิวิชั่น 2 ในปีหน้ากว่าพวกเขาจะได้เลื่อนชั้นกลับขึ้นมาก็ปาเข้าไปฤดูกาล 2004 โดยในศึกดิวิชั่น 2 ไฟร์บวร์ก ครองอันดับ 1 ของลีกมาไว้ได้จนจบฤดูกาล แต่ดูเหมือนว่าเส้นทางบนลีกสูงสุดจะไปได้ไม่สวยนักจากที่เลื่อนชั้นขึ้นมาได้เพียงแค่ปีเดียวในที่สุดพวกเขาก็ต้องตกชั้นลงไปยังดิวิชั่น 2 เหมือนเดิมต่อมาในฤดูกาล 2006-2007 กับดิวิชั่น 2 ที่พวกเขาลงเล่นแม้ว่า 12 ใน 16 เกมสุดท้ายของพวกเขาจะเป็นการเอาชัยมาครองได้แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการเลื่อนชั้นพวกเขาจบด้วยการรั้งอันดับ 4 ในปี 2007 ต่อมาหลังจากที่ผลงานของ ไฟร์บวร์ก ยังคงย่ำแย่ โฟลเคอร์ ฟิงเค่ ก็ตัดสินใจอำลาสโมสรหลังจากใช้ชีวิตในการทำงานร่วมกับ จิ้งจอกแห่งป่าดำ มานานร่วม 16 ปี ฤดูกาล 2009 โรบิน ดุตต์ เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสร ผลงานของเขาทำได้ยอดเยี่ยสามารถพา ไฟร์บวร์ก ได้แชมป์ บุนเดสลีก้า 2 เยอรมัน ทำให้เลื่อนชั้นไปเล่นลีกสูงสุดอีกครั้งในฤดูกาล 2010-2011 แต่เส้นทางของ ดุตต์ กับ ไฟร์บวร์ก ไปได้ไม่ไกลนักหลังจากที่ทำทีมอยู่ได้ 2 ปี พอจบซีซั่น 2011 เขาก็ตัดสินใจลาออกจากสโมสรและหันไปทำงานให้กับสโมสร ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น แทน ในจังหว่ะที่ทีมกำลังโล้ดแล่นอยู่ในตาราง บุนเดสลีก้า การเข้ามาทำหน้าที่ของ มาร์คุส ซอร์ก ไม่ได้ช่วยทำให้ทีมดีขึ้นแถมซ้ำยังเกือบทำให้ทีมต้องตกชั้นลงไปอีกรอบแต่ทางสโมสรตัดสินใจปล็ด มาร์คุส ออกจากตำแหน่งกลางครันและผลักดันให้ คริสเตียน สไตร์ซ์ เข้ามารับช่วงต่อในที่สุดก็สามารถแก้ไขวิกฤตินี้ไปได้ทำให้ทีมยังคงอยู่ใน บุนเดสลีก้า ต่อไปด้วยการจบซีซั่นในอันดับที่ 12 และต่อมา ปี 2003 สไตรซ์ ก็ได้แต่งตั้งให้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมอย่างเต็มตัวและพาทีมท็อปฟอร์มจนทะยานเข้าสู่การเพลย์ออฟไปเตะฟุตบอลถ้วยรายการใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ แต่ว่าสุดท้ายก็ต้องปราชัยให้กับ ชาลเก้ 04 ไปทำให้พวกเขายังคงไม่ได้สัมผัสกับรายการแข่งขันสุดยิ่งใหญ่ในยุโรปและในปีเดียวกัน ไฟร์บวร์ก ได้ผ่านเข้าไปชิงแชมป์ฟุตบอลถ้วยรายการ เดเอฟเบ โพคาล แต่ก็สุดท้ายก็ต้องมาพ่ายแพ้อยู่ดีโดยนัดชิงครั้งนี้พวกเขาต้องแพ้ให้กับ สตุ๊ตการ์ท ไปด้วยสกอร์ 2-1 และดูเหมือนว่าการเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาของ ไฟร์บวร์ก ในรอบนี้จะเป็นรอบที่ยาวนานพอสมควรนับได้ก็ 6 ปีที่พวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นมาแต่แล้วหลังจากที่จบฤดูกาล 2014-15 พวกเขาจบอันดับรองบ๊วยของตารางทำให้ต้องตกชั้นลงไปอีกครั้งแต่การตกชั้นลงไปในปีนี้ไม่นานแค่ปีเดียวก็กลับคืนสู่สังเวียนลูกหนังลีกสูงสุดของเยอรมันได้ ในปี 2017 พวกเขาจบฤดูกาลด้วยการคว้าอันดับ 7 ทำได้ตั๋วไปลุยศึกฟุตบอล ยูโรป้า คัพ ต่อมาอีก 1 ปี สถาการณ์ของทีมยังคงย่ำแย่พวกเขาเกือบจะต้องตกชั้นลงไปอีกครั้งแต่ก็ยังรั้งไว้ได้ จนผ่านมาได้จนถึงฤดูกาลในปัจจุบัน ในฤดูกาล 2018-19 พวกเขาจบอันดับที่ 13 ของ ตารางคะแนน ส่วนผลงานในปัจจุบัน ไฟร์บวร์ก เกาะอยู่อันดับ 8 ของลีกโดยที่แข่งไปแล้ว 25 นัด มีคะแนนอยู่ 35 แต้ม

Sport Club Freiburg e.V.

ชื่อสโมสร : ไฟร์บวร์ก (Sport Club Freiburg e.V.)

ฉายา : จิ้งจอกแห่งป่าดำ

สนานเหย้า : ชวาทซ์วัลท์ ซตาดีโอน (ความจุ 24,000 ที่นั่ง)

ก่อตั้ง : คศ.1904

ผู้จัดการทีมคนปัจจุบัน(2020) : คริสเตียน สไตรซ์

เว็บไซต์สโมสร : http://www.scfreiburg.com/