โรเมลู ลูกากู กับภารกิจพิสูจน์ตัวเองในทัพ งูใหญ่

โรเมลู ลูกากู กับภารกิจพิสูจน์ตัวเองในทัพ งูใหญ่

ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี “นี่อาจเป็นทีมที่ผมต้องการย้ายมา” โรเมลู ลูกากู ศูนย์หน้าทีมชาติเบลเยียมคนใหม่ของ อินเตอร์ มิลาน สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกกัลโช เซเรีย อา กล่าวขณะที่เขานั่งอยู่ในห้องประชุมที่ ปอร์ตา โนว่า ซึ่งเป็นย่านธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ของ มิลาน

อดีตดาวยิง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ มีความเชื่อมั่นว่า อินเตอร์ เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเรียกฟอร์มเก่งของเขากลับมาอีกครั้ง โดยระบุว่า “ผมมีความรักให้กับสโมสรแห่งนี้ ความรักที่ผมมีให้กับ อินเตอร์ และมันเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบสำหรับผมที่จะย้ายออกจากประเทศอังกฤษ ผมไม่อยากอยู่ที่นั่นอีกแล้ว”

มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเหมือนกันที่ อินเตอร์ กำลังไว้วางใจ ลูกากู ซึ่งใช้เวลา 2 ฤดูกาลที่ผ่านมาดิ้นรนอย่างหนักที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการฟื้นฟูอาชีพของตนเอง หลังจากที่เขาไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งได้

ขณะเดียวกัน นี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับ อินเตอร์ เช่นกัน เนื่องจาก “งูใหญ่” ไม่สามารถคว้าแชมป์รายการใดมาครองได้เลยนับตั้งแต่ปี 2010 ที่พวกเขาคว้าแชมป์ยุโรป และแชมป์ลีก ภายใต้การนำของ โชเซ่ มูรินโญ่ อดีตกุนซือชาวโปรตุเกส

เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะมีฐานแฟนคลับที่มั่นคงที่ยังคงเติมเต็มสนาม จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป ในสัปดาห์ต่อสัปดาห์ แต่ อินเตอร์ ก็ห่างหายจากการเป็นทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป และกลายเป็น ยูเวนตุส ที่ครองความยิ่งใหญ่ในอิตาลี แต่เพียงผู้เดียว

สตีเว่น ชาง นายธนาคารมือสมัครเล่นที่มีปริญญาจากมหาวิทยาลัย วอร์ตัน ได้สาบานที่จะเปลี่ยนแปลง อินเตอร์ ในปี 2016 พ่อมหาเศรษฐีของเขาซื้อสโมสรแห่งนี้เมื่อ 9 เดือนที่ผ่านมา และส่งมอบให้แก่ ชาง ในวัย 28 ปี ซึ่งมีอายุมากกว่า ลูกากู เพียง 2 ปี บริหารงาน

ภายใต้การดูแลของ ชาง อินเตอร์ มีการลงทุนหลายล้านยูโรในการสร้างแบรนด์ใหม่ของสโมสรในฐานะองค์กรที่ทันสมัย โดยเริ่มจากประกาศแต่งตั้ง อันโตนิโอ คอนเต้ โค้ชฝีมือดีชาวอิตาลี ผู้เคยคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และเซเรีย อา เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่

นอกจากนี้ อินเตอร์ ยังคว้าตัว ดิเอโก้ โกดิน กองหลังจอมเก๋าชาวอุรุกวัย มาจาก “ตราหมี” แอตเลติโก้ มาดริด เข้ามาเสริมแนวรับ แบบไร้ค่าตัว รวมถึงยืมตัว อเล็กซิส ซานเชซ ปีกทีมขาติชิลี มาจาก แมนฯยูไนเต็ด อีกด้วย

แต่ ลูกากู ดูเหมือนจะเป็นแข้งบิ๊กเนมที่ได้รับการจับตามองมากที่สุด เมื่อเขาเคยย้ายจาก เอฟเวอร์ตัน ไปยัง แมนฯยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 75 ล้านปอนด์ เมื่อ 2 ปีก่อน และย้ายมายัง อินเตอร์ ด้วยค่าตัวเบื้องต้น 65 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดในทัพ “งูใหญ่”

เสน่ห์ของ ลูกากู นั้น ไม่ยากที่จะอธิบาย คุณไม่ต้องดูเขาเล่นด้วยซ้ำ ด้วยร่างกายแข็งแกร่งดังเหล็กของเขา ประกอบกับส่วนสูง 6 ฟุต 3 นิ้ว และช่วงไหล่ที่กว้าง ก็เพียงพอที่จะคิดในใจว่า อดีตหัวหอก “ปีศาจแดง” ต้องเป็นตัวเป้าที่อันตรายในกรอบเขตโทษคู่แข่ง

นอกจากนี้ ลูกากู ยังมีความเร็วที่น่าแปลกใจสำหรับขนาดตัวที่ใหญ่ของเขา ที่ เอฟเวอร์ตัน มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขาที่จะเอาชนะกองหลังคู่แข่ง โดยที่ อเล็กซิส อดีตเพื่อนร่วมทีม แมนฯยูไนเต็ด ระบุว่า “คุณสามารถดูเขาเล่นได้เป็นเวลานาน และคุณจะไม่พบใครเหมือนเขาในทุกที่บนโลกนี้อีกแล้ว”

ปัญหาคือ ลูกากู ไม่ได้มองตัวเองในสนามมากนัก การประเมินจึงแตกต่างกันไป เขามีนำหนักตัวขึ้นไปถึง 15 ปอนด์ ในขณะที่อยู่กับ แมนฯยูไนเต็ด มันเป็นผลมาจากปัญหาระบบทางเดินอาหารของเขา จึงทำให้เขาดูอ้วน

แต่ในเวลานั้นดูเหมือนว่า มันเป็นฉนวนที่ทำให้ อดีตกองหน้า เอฟเวอร์ตัน อยากย้ายออกจากถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด หลังจากที่เขาโดน แกร์รี่ เนวิลล์ อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษของ “ปีศาจแดง” วิจารณ์เรื่องน้ำหนักตัว โดยระบุว่า “ลูกากู ไม่มีความเป็นมืออาชีพ คุณไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองอ้วนได้”

อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปสำหรับ ลูกากู เขาจะต้องพิสูจน์ศักยภาพของตัวเองให้มากขึ้น และการตอบสนองของเขาที่มีต่อคำวิจารณ์มากกว่าความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมใด ๆ โดยดาวเตะวัย 26 ปี ยืนยันว่าเขาพร้อมแล้ว

“ผู้เล่นกลุ่มนี้ที่เรามีที่นี่เป็นกลุ่มพิเศษ และเรามีผู้นำที่ถูกต้องอยู่ข้างหน้าเราเพื่อพาเราไปยังสถานที่ที่เหมาะสม อินเตอร์ เป็นสโมสรที่มีความทะเยอทะยาน และต้องการกลับไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ผมต้องการช่วยพวกเขาสร้างบางสิ่งที่นี่ มันเป็นการย้ายทีมที่ถูกต้องสำหรับผม” อดีตแข้ง เอฟเวอร์ตัน กล่าว

ความเข้มข้นที่ คอนเต้ นำมาสู่สโมสรทั้งทางร่างกาย และปรัชญา มีแนวโน้มที่จะมีผลทันที ยกตัวอย่าง บารี กำลังตกต่ำในปี 2007 ก่อนที่เขาจะพาทีมกลับมาสู่ลีกสูงสุดในปี 2009 และในฤดูกาลแรกของเขาที่ เซียนา เมื่อ 2010-11 เขาก็พาทีมกลับมาเล่นศึกเซเรีย อา ได้ในปีต่อมา รวมถึงประสบความสำเร็จกับ ยูเวนตุส อย่างมากมาย

ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ คอนเต้ เกี่ยวข้องกับทีม เชลซี ที่กำลังถดถอยหลังยุคที่ 2 ของ มูรินโญ่ โดยอดีตนายใหญ่ ยูเวนตุส พาพลพรรค “สิงโตน้ำเงินคราม” ทำสถิติเก็บชัยชนะ 13 เกมรวด พร้อมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในปี 2016-17

ลูกากู กล่าวต่อว่า “คอนเต้ เป็นคนที่สร้างทีมได้อย่างน่าทึ่ง มันเหมือนกับพวกเราอยู่ด้วยกันมานานหลายปีแล้ว แม้แต่คนที่เพิ่งจะย้ายมาถึง อินเตอร์ มันเป็นสิ่งที่แปลกที่สุดที่ผมเคยเจอมา”

คอนเต้ เคยอยากได้ตัว ลูกากู มาตั้งแต่ซัมเมอร์ปี 2014 สมัยที่คุม ยูเวนตุส เพราะเขาเห็นว่า หัวหอกเบลเยียม เป็นกองหน้าไม่เหมือนใคร มีความยืดหยุ่น และปรับตัวได้อย่างธรรมชาติ จนถึงขนาดเอ่ยปากชวนให้ย้ายมาเล่นในทัพ “ม้าลาย” มาแล้ว

คอนเต้ บอกว่า เขาชื่นชอบ ลูกากู อย่างมาก และ ลูกากู ยอมรับว่า เขารู้สึกปลื้มเช่นกัน แต่เขาเพิ่งจะถูก เชลซี ปล่อยยืมตัวไปยัง เอฟเวอร์ตัน ก่อนจะข้ายขาดไปยัง “ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน” ในเวลาต่อมา ซึ่งทั้งคู่ก็ยังคงไม่ได้ร่วมงานกัน

อย่างไรก็ตาม อีก 2 ปีต่อมา คอนเต้ ตามล่าตัว ลูกากู อีกครั้ง หลังจากที่เขามาคุมทีม เชลซี ก่อนที่ ศูนย์หน้าเบลเยียม จะย้ายไปยัง แมนฯยูไนเต็ด โดย ลูกากู อธิบายว่า “ผมคิดว่า ตอนนั้นการย้ายทีมมันเสร็จแล้ว มันไม่ใช่ความผิดของผม และไม่ใช่ความผิดของ คอนเต้”

เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเมื่อ ลูกากู ได้ยินว่า คอนเต้ จะไปคุม อินเตอร์ มันถือเป็นสัญญาณว่า ทั้งคู่อาจจะได้ร่วมงานกันสมใจ และในที่สุดทุกอย่างก็จบลง โดยอดีตหัวหอก “ปีศาจแดง” กล่าวว่า “ผมจำได้ว่า เคยดู อินเตอร์ มิลาน ในชุดคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ในปี 1998 และผมก็ตัดสินใจเลือกสโมสรแห่งนี้โดยไม่ลังเล”

ลูกากู เพิ่งจะเริ่มเรียนภาษาอิตาเลียน เขาเติบโตขึ้นมาในเบลเยียม และพูดภาษาฝรั่งเศสที่บ้าน นอกจากนี้ เขายังสามารถสื่อสารกับญาติชาวคองโกได้อีกด้วย โดยระหว่างอาชีพนักฟุตบอล เขาซึมซับภาษาอังกฤษ โปรตุเกส สเปน และเยอรมันเล็กน้อย

ลูกากู รับชมรายการโทรทัศน์จากดาวเทียมอิตาลี เพราะน้องชายของเขา จอร์แดน เล่นให้กับ ลาซิโอ้ แต่เขาก็เริ่มสนใจฟุตบอลอิตาเลียนอย่างจริงจังในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เนื่องจากข่าวลือของ คอนเต้ ที่จะคุม อินเตอร์ มันเป็นจริง

เมื่อ ลูกากู มาถึง อินเตอร์ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

เมื่อ ลูกากู มาถึง อินเตอร์ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เขาขอร้องให้เพื่อนร่วมทีมพูดกับเขาเป็นภาษาอิตาลี ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ราวกับว่าเขาเป็นคนอิตาเลียน โดยเจ้าตัวกล่าวว่า “พวกเขาโอบกอดผม และผมก็กอดพวกเขาไว้ มันเหมือนกับว่าผมได้เป็นส่วนหนึ่งของสโมสรมาหลายเดือนแล้ว”

“ผมต้องการพูดภาษาท้องถิ่นเมื่ออยู่ในสนาม มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมที่จะแสดงตัวตนให้เพื่อนร่วมทีมของผมได้เห็น มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมในฐานะผู้เล่นที่พวกเขาเข้าใจผมอย่างสมบูรณ์แบบว่า ผมต้องการบอลแบบไหน”

“ผมต้องการบอลในจุดใดต่อกองหลัง ด้านข้าง หรือวิ่งตัดแนวรับ ผมต้องรู้คำศัพท์ภาษาอิตาลีเหล่านั้น เพราะรายละเอียดปลีกย่อยนั้น แตกต่างกันในทุกภาษา และไม่มีสิ่งใดทดแทนได้” ดาวยิง อินเตอร์ กล่าว

ลูกากู เริ่มต้นค้าแข้งกับ อันเดอร์เลชท์ ในลีกเบลเยียม ก่อนจะย้ายไปยัง เชลซี ในปี 2011 จากนั้นเขาถูกปล่อยยืมตัวไปยัง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน และ เอฟเวอร์ตัน และโชว์ผลงานกระหน่ำไป 68 ประตู ใน 4 ซีซั่น ก่อนจะย้ายไปยัง แมนฯยูไนเต็ด

ลูกากู ได้ลงเล่นน้อยมากภายใต้การคุมทีมของ มูรินโญ่ ที่ เชลซี ในปี 2011 และหลังจากนั้น โค้ชชาวโปรตุเกส เซ็นสัญญากับเขาที่ แมนฯยูไนเต็ด ในซัมเมอร์ปี 2017 และการกลับมาร่วมงานกันในทัพ “ปีศาจแดง” ดูเหมือนจะไปได้สวย หลังจากที่เขาซัดไป 11 ประตูใน 10 เกมแรก

แต่เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในช่วงเดือนสุดท้ายของ มูรินโญ่ ดูจะไม่แน่นอน และการเล่นของ ลูกากู แย่ลง เมื่อถึงเวลาที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เข้ามาคุมทีมในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เขายิ่งเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานลงไปอีก

ลูกากู ถูกจับไปเล่นในด้านกว่างที่ไม่ถนัด และด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ความสามารถในการรวบรวมลูกบอลก็แย่ลงไปด้วย และการเป็นหัวหอกตัวเป้าที่แข็งแกร่งของเขาก็ถูกกลืนกินไปในระบบใหม่ที่เน้นโจมตีเร็วของ โซลชา

ดูเหมือนว่า ลูกากู กำลังถดถอยในอาชีพของเขากับ แมนฯยูไนเต็ด โซลชา ไม่ได้ให้เขาเป็นตัวจริงถึง 5 เกม โดย พอล สโคลส์ อดีตจอมทัพ “ปีศาจแดง” แสดงความคิดเห็นว่า “โซลชา ต้องการคนที่มีพลังงาน และความเร็วเพื่อที่จะทำงานหนักในแนวรุก”

ในฐานะที่เป็นดาวเด่นของทีม หัวหอกเบลเยียม ถูกตำหนิเนื่องจากความล้มเหลวในช่วงที่ มูรินโญ่ ถูกไล่ออก เขาโดนโจมตีอย่างหนักว่า เป็นต้นเหตุ และภายใต้การคุมทีมของ โซลชา นั้น ลูกากู แทบไม่มีโอกาสกลับมาเป็นตัวจริงอีกเลย

ขณะเดียวกัน อเล็กซิส กล่าวว่า “ลูกากู และผมฝึกซ้อมได้ดีมา แต่เราจำเป็นต้องลงเล่นมากขึ้นเพื่อให้ได้ฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาในสนาม สถานการณ์ในตอนนนั้นไม่เหมาะกับพวกเราทั้งคู่ มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่เราจะได้อยู่ที่ แมนเชสเตอร์ มีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป เมื่อคุณเปลี่ยนแปลงไปมากมันยากที่จะเหมือนเดิม”

อินเตอร์ กำลังทำงานในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่แตกต่างออกไป โดยมีเป้าหมายที่จะคว้าแชมป์ตอนนี้หรือในไม่ช้า ลูกากู อายุเพียง 26 ปี แต่ใน แมนเชสเตอร์ เขาดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของควมล้มเหลว แต่ คอนเต้ เห็นว่าเขาแตกต่างออกไป และยังคงมีพรสวรรค์อยู่เต็มเปี่ยม

นายใหญ่ อินเตอร์ กล่าวว่า “ผมยินดีมากเกี่ยวกับความมุ่งมั่นที่ ลูกากู ทำในแบบที่เขาเคยทำมาตลอด เขายังคงมีหลายสิ่งอีกมากมายที่จะปรับปรุง ทั้งในเชิงเทคนิค ทางกายภาพ และในเชิงกลยุทธ์ แต่เพราะเขามีความปรารถนาที่จะปรับปรุงตัวเอง เขาอาจกลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในโลก”

ทันทีที่ ลูกากู มาถึง มิลาน คอนเต้ ก็ส่งเขาไปหานักโภชนาการเพื่อขอคำปรึกษาอย่างละเอียด รวมถึงการศึกษาการสลายตัวของระบบย่อยอาหาร ภายในไม่กี่ชั่วโมงความมุ่งมั่นของเขาได้ผล โดยอดีตแข้ง แมนฯยูไนเต็ด ระบุว่า “ตอนนี้ผมปกติแล้ว ผมมีระบบย่อยอาหารที่ดี”

“ผมย่อยทุกอย่างอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นวิธีที่มันเป็นมาตลอดชีวิตของผม แต่สิ่งที่นักโภชนาการพูดกับผมคือมันหยุดทำงานในช่วงก่อนหน้านี้”

ลูกากู ถูกกำหนดให้กิน ปลา, มันฝรั่งหวาน, พาสต้าชิตาเกะ,ผักปรุงสุก และผักดิบ, เขาเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงใน 12 วัน เขาลดน้ำหนักไปได้เกือบ 10 ปอนด์ เมื่อไขมันในร่างกายถูกวัดที่สถานที่สนามซ้อมในสัปดาห์แรกของเดือนกันยายนที่ผ่านมา เขาได้รับแจ้งว่า ไขมันต่ำที่สุดในทีม และตอนนี้ร่างกายเขาดีแล้ว

แต่ความฟิตเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการ ถึงแม้ว่า ลูกากู จะเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าคนเดียว ในหลายรูปแบบในอาชีพของเขา แต่ คอนเต้ ยังคงต้องการใช้เขาในการสิ่งที่แตกต่างออกไปในระบบ 3-5-2 ที่ถนัด

เนื่องจากสภาพร่างกายของ ลูกากู เหมาะจะเป็นกองหน้าหมายเลข 9 เหมือนกับทีมเล่นให้กับทีมขาติเบลเยียม แต่เขาก็สามารถเล่นในบทบาทกองหน้าตัวต่ำได้เช่นกัน อาทิ ในช่วงที่ยืนคู่กับ อารูนา โคเน่ ที่ เอฟเวอร์ตัน

ในทีม อินเตอร์ ลูกากู ต้องยืนในแดนหน้าคู่กับ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ ดาวยิงทีมชาติอาร์เจนตินา ซึ่งซัดไป 9 ประตู เมื่อซีซั่นที่แล้ว โดยหัวหอก “ฟ้าขาว” เป็นคู่หูที่แตกต่างออกไป เพราะเขามีความสูงเพียง 5 ฟุต 8 นิ้ว และหนักไม่เกิน 150 ปอนด์

ลูกากู กล่าวว่า “ผมสามารถเล่นบอลจังหวะเดียวกับเขาได้ และเคลื่อนไหวเพื่อหาช่องอีกครั้ง เขาเข้าไปในพื้นที่ที่ผมต้องการไป แล้วเขาจะเอาลูกบอลให้ผม เราเล่นร่วมกันได้เป็นอย่างดี”

“เมื่อลูกบอลอยู่ในพื้นที่หนึ่ง เราจะทำการเคลื่อนไหวบางอย่าง ถ้าผมเคลื่อนไหว เลาตาโร่ จะทำการเคลื่อนไหวไปในทิศตรงกันข้ามเพื่อหาช่อง และถ้าเขาเคลื่อนไหว ผมก็ควรทำสิ่งที่ตรงกันข้ามเช่นกัน เรารู้ดีว่า เราต้องไปที่ตำแหน่งไหน”

อย่างไรก็ตาม ในเกมที่ อินเตอร์ เอชนะ กาญารี่ 2-1 นั้น ลูกากู ถูกเหยียดสีผิวด้วยกลุ่มแฟนบอล Curva Nord Ultras ก่อนที่กลุ่มดังกล่าว จะออกแถลงการณ์อ้างว่าเสียง และท่าทางของลิงไม่ใช่การเหยียดผิว แต่เป็นวิธีสำหรับแฟนๆ ที่จะช่วยเชียร์สโมสรของพวกเขา

ลูกากู โพสต์บน Instagram ว่า “ฟุตบอลเป็นเกมที่ทุกคนสนุกสนาน และเราไม่ควรยอมรับการเลือกปฏิบัติใดๆ ที่จะทำให้เกมของเราน่าอับอาย ผมหวังว่า สหพันธ์ฟุตบอลทั่วโลกจะมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรงในทุกกรณีของการเลือกปฏิบัติ”

“สุภาพสตรี และสุภาพบุรุษปี 2019 แทนที่จะก้าวไปข้างหน้า เราจะย้อนกลับไป และผมคิดว่าในฐานะผู้เล่นที่เราต้องรวมตัวกัน และแถลงการณ์ เรื่องนี้จะทำให้เกมนี้สะอาด และสนุกสำหรับทุกคน”

ในเดือนตุลาคมนี้ อินเตอร์ จะเล่นกับ ยูเวนตุส ในเซเรีย อา และพบกับ บาร์เซโลน่า และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในขณะที่ซีซั่นที่แล้ว “งูใหญ่” มีแต้มตามหลัง “เจ้าม้าลาย” ถึง 21 คะแนน พร้อมจบด้วยอันดับ 4

ลูกากู กล่าวว่า “ผมไม่คิดว่า คุณจะพูดว่าคุณต้องชนะทุกเกม โค้ชใหม่ ทีมใหม่ วิธีการเล่นใหม่ ดังนั้นมันจึงเป็นแค่เกมเกมเดียวเท่านั้น เรากำลังเรียนรู้ แต่เราต้องเดินไปทางที่ถูกต้อง และเราต้องทำให้ชัดเจนว่าทุกครั้งที่คุณเผชิญหน้ากับ อินเตอร์ มันเป็นการต่อสู้ที่หนักหน่วง”

ซานเชซ กล่าวเสริมว่า “ผมสามารถรู้สึกถึงความตั้งใจที่สโมสรแห่งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย นี่คือเหตุผลที่ผมมาที่นี่ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ลูกากู กับผมถึงอยู่ที่นี่ เราจะมีหลายสิ่งอีกมากที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล”

ทำไม ลูกากู กับผมถึงอยู่ที่นี่