ได้ประกาศผลกันไปเรียบร้อยแล้วสำหรับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำปี หรือรางวัลบัลลงดอร์ ที่ก่อนหน้านี้ในช่วงหลายปีเป็นการสลับกันได้อยู่ 2 คนระหว่าง ลีโอเนล เมสซี่ สตาร์ชาวอาร์เจนติน่า กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สุดยอดนักเตะจากโปรตุเกส ทว่าปีนี้รางวัลได้เปลี่ยนมือไปเรียบร้อยเพราะการพา โครเอเชีย ก้าวขึ้นมาถึงรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 กับการเป็นเพลย์เมกเกอร์หัวใจสำคัญในการพา เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 3 ติดต่อกัน มันเพียงพอสำหรับทำให้ ลูก้า โมดริช ก้าวขึ้นมารับรางวัลนี้แทน
ความยากลำบากของ โมดริช
หลายคนอาจมองว่า ลำพังการเป็นนักฟุตบอลเพียงแค่คุณพยายามฝึกซ้อมบ่อย ๆ โอกาสก็จะค่อย ๆ ก้าวเข้ามาเป็นของคุณแล้ว แต่สำหรับเด็กที่เติบโตในเขตสงคราม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่อยู่ดี ๆ จะมีภาครัฐหรือเอกชนที่ไหนใจดีเปิดคลินิกสอนฟุตบอลพร้อมเรียนรู้ทักษะพื้นฐานเพื่อให้พัฒนาตนเองต่อไปในอนาคต และ โมดริช คือเด็กผู้โชคร้ายกลุ่มนั้น กลุ่มที่ต้องต่อสู้ในชีวิตแห่งสงคราม แทบไม่มีหวัง อย่าว่าแต่เรื่องของฟุตบอล เพียงแค่การประทังชีวิตเอาตัวรอดไปวัน ๆ ยังเป็นเรื่องยาก ทว่าจากวันนั้นสู่วันนี้เขาได้เติบโตและกลายเป็นคนสำคัญที่โลกต้องจารึกไปอีกนานแสนนาน
เอาเป็นว่าช่วงเวลาในอดีตอันแสนรันทดมันได้ผ่านชีวิตเขาไปแล้ว และเขาก็ไม่ได้คิดว่านี่คือการเล่นตลกของพระเจ้าเพราะด้วยฝีเท้าของตนเองทำให้มีแมวมองมาให้ความสนใจ ในที่สุดก็ถูกดึงไปเป็นนักฟุตบอล เขาเริ่มโด่งดังมีชื่อเสียงสมัยเล่นในอังกฤษให้กับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ก่อนตัดสินใจย้ายไปสู่ลาลีกา สเปน ซึ่งเส้นทางของเขาบนแผ่นดินกระทิงดุ ต้องบอกเลยว่าไม่ได้สวยหรูปานนั้น หลายคนมองว่าเขาเข้ามาเพื่อเป็นตัวสำรองด้วยซ้ำ และในช่วงแรกมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เขาแทบไม่มีโอกาสได้ลงสนามจนหลายคนเชื่อว่าเตรียมโบกมือลาถิ่นซานติอาโก เบอร์นาบิว ไปได้เลย ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ยอมแพ้ พร้อมเดินหน้าฝึกซ้อมอย่างแข็งขัน
กระทั่งโอกาสของเขาค่อย ๆ เพิ่มขึ้น โมดริช เองไม่ได้ทำให้ผู้เป็นนายต้องผิดหวังด้วยการเปล่งแสงแห่งความเป็นมิดฟิลด์ระดับโลกให้ทุกคนได้ตกตะลึง ทั้งการจ่ายบอลอันแม่นยำ เซนส์บอลในการมองหาตำแหน่งของผู้เล่นคนอื่นก่อนปาดไปให้อย่างเยือกเย็น การยิงจากแถวสองที่คมกริบ และอื่น ๆ อีกมาก มันคงเพียงพอที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในอาชีพของตนเองเสียที
