ประวัติความเป็นมาของสโมสร โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (Borussia Dortmund) เสือเหลือง

ประวัติความเป็นมาของสโมสร โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

ความเป็นหนึ่งเดียวของชุมชนคนในประเทศเยอรมนีทำให้ทีมฟุตบอลทีมๆหนึ่งสามารถยืนยงคงมาตราฐานและยังมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาโดยตลอด กำลังใจของเหล่า แฟนบอล ถือเป็นแกนหลักที่ทำให้พวกเขายังคงยืนยัดเป็นทีมแนวหน้าของวงการลูกหนังที่ยังผลิตผลงานออกมาได้ดีมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้เลย โดยทีมที่จะกล่าวถึงดังต่อไปนี้ไม่ใช่ทีมไหนอื่นไกล แต่เป็น “เยลโล่ วอลล์” กำแพงสีเหลืองของศึกฟุตบอล บุนเดสลีก้า เยอรมัน อย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ นั่นเอง จุดเริ่มต้นของสโมสรเกิดขึ้นช่วงปี ค.ศ 1909 จากกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่หันมาตัวมาตั้งทีมฟุตบอลเอง โดยเกิดขึ้นจากความไม่พอใจของกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับสโมสร Trinity Youth ทีมฟุตบอลของ โบสต์ประจำเมือง โบรุสเซีย ซึ่งมักจะสนับสนุนให้กับเด็กที่นับถือศาสเดียวกันเป็นหลัก จึงเป็นจุดกำเนิดของสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ขึ้นมาแต่เดิมทีสีชุดที่ลงแข่งขันจะใช้เป็น สีน้ำเงิน-ขาว ต่อมาในปี คศ. 1913 พวกเขาถึงได้เปลี่ยนมาใช้ สีเหลือง-ดำ แทน ในช่วงยุคสงครามโลกหรือราวๆปี 1929 สโมสรพบเจอกับปัญหาอย่างหนักมีการโยกย้ายผู้จัดการทีมไปๆมาๆจนเกือบจะทำให้ทีมล้มละลายเกือบจะไม่มีชื่อ เสือเหลือง ให้แฟนบอลชาวไทยได้รู้จักกันแล้ว แต่ในความโชคร้ายและปัญหาที่รุมเร้าก็ได้ผู้สนับสนุนเข้ามาช่วยเหลือทีมจนพ้นวิกฤติไปได้ในที่สุดซึ่งกว่าจะฝ่าฝันมาได้ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรรวมไปถึงต้องรอจนกว่าสงครามโลกจะจบลงถึงได้กลับมารวมตัวเป็นสโมสร ดอร์ทมุนด์ อีกครั้ง ซึ่งรายระเอียดคงไม่ได้เจาะลึกอะไรมากเพราะไม่ได้มีส่วนสำคัญสักเท่าไหร่ ข้ามไปที่การเข้ามาสู่ยุคของ บุนเดสลีก้า เยอรมัน ก่อนที่จะเปลี่ยนถ่ายเป็นลีกฟุตบอลอาชีพแบบเต็มตัว ราวๆปี คศ.1946-1963 เสือเหลือง ได้ลงเล่นในรายการ โอเบอร์ลีก้า เวสต์ ต่อมาภายในปี คศ. 1949 พวกเขาสามารถพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศได้แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะทางฝั่งของ วีเอฟอาร์ มานน์ ไฮม์ โดยแพ้ไป 2-3 ประตู และพวกเขาก็ได้เข้าสู่เวทีเกมลีกเป็นครั้งแรกในปี คศ. 1956 โดยที่พึ่งจะมีการแต่งตั้งเกมลีกขึ้นในปี 1950 ถือว่าเป็นระยะเวลาไม่นานที่พวกเขาขึ้นมาเป็นทีมฟุตบอลอาชีพแบบเต็มตัว ในระยะเวลาผ่านไปแค่ 1 ปีหลังจากที่ขึ้นมาเล่นฟุตบอลลีกของ เยอรมัน พวกเขาสามารถเอาชนะ ฮัมบูร์ก คว้ารองแชมป์ในรายการ เยอรมัน แชมป์เปี้ยนชิพ และต่อมาในปี 1963 การรวมตัวของสามตำนานนักเตะอย่าง อัลเฟรด ไพรบ์เลอร์,อัลเฟรด เคลบาสซ่า และอัลเฟรด นีเพียโคล สามารถพาทีมคว้าแชมป์ในรายการฟุตบอล เยอรมัน แชมป์เปี้ยนชิพ ได้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงระบบการแข่งขันใหม่เป็นรายการ บุนเดสลีก้า เยอรมัน โดยทางสมาคมฟุตบอลของเยอรมันให้ ดอร์ทมุนด์ เป็นส่วนหนึ่งใน 16 ทีมที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขัน และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ ประตูแรกที่กำเนิดขึ้นของ เดอะ เยลโล่ วอลล์ ในรายการ บุนเดสลีก้า คือประตูของ เฟรดเฮล์ม โคเนียท์สก้า โดยการซัดชัยเหนือ แวร์เดอร์ เบรเมน ไปได้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1965 ดอร์ทมุนด์ ก็ได้แชมป์รายการ เดเอฟเบ โพคาล นอกจากนั้นปีต่อมายังสามารถเอาชนะ ลิเวอร์พูล ในรายการ ยูโรเปี้ยน คัพวินเนอร์สคัพ แต่ในปีนั้นพวกเขากับไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้

ความผิดหวังเป็นแรงผลักดันให้สโมสรเดินหน้าขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

วิกฤติของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 1970 ด้วยสภาพคร่องทางการเงินที่ไม่ค่อยดีทำให้ทีมต้องล่วงตกชั้นลงไปในที่สุด และหลังจากที่สโมสรตกชั้นลงไปในปี 1972 ต่อมาอีก 2 ปีก็ได้มีการเปิดใช้สนามแห่งใหม่ ชื่อสนามว่า เว็สฟาเลิน สเตเดี้ยม อยู่แถวๆย่าน เวสต์ฟาเลิน และในที่สุดจากความผิดหวังก็กลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เหล่าจอมทัพของ เสือเหลือง พาทีมกลับขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดได้อีกครั้งในปี คศ. 1972 แต่คลื่นลมทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่ไม่นอนก็ทำให้พวกเขาต้องตกชั้นลงไปอีกครั้งหนึ่งและกลับมาเล่นในลีกสูงสุดได้อีกครั้งในปี 1980 แต่ว่าสโมสรก็ไม่สามารถคว้าแชมป์รายการไหนมาครองได้เลยแต่ด้วยความเหนียวแน่นและกำลังใจของเดอะ “เยลโล่ วอลล์”ทำให้ทีมกลับมาประสบความสำเร็จได้โดยการคว้าแชมป์รายการ DFB Pokal ในปี 1989 ซึ่งนัดชิงเจอกับทาง แวร์เดอร์ เบรเมน และยังถือว่าเป็นถ้วยแชมป์รายการแรกในการทำทีมของกุนซืออย่าง ออร์สต์ คอปเปล นอกจากนั้นยังได้แชมป์ DFL ซุปเปอร์คัพ มาครองได้อีก ต่อมาในปี 1991 การจบอันดับที่ 10 ของตารางไม่เป็นที่น่ายินดีของแฟนบอล เสือเหลือง สักเท่าไหร่ คอปเปล จึงตัดสินใจลาออกและได้แต่งตั้งกุนซือคนใหม่อย่าง ออตมาร์ ฮิตซ์เฟลต์ มารับงานแทนซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สโมสรกลับมามีเงินถุงเงินถังพอที่จะช็อปนักเตะดีดีเข้าทีม แม้ว่า ออตมาร์ จะไม่ได้พาทีมคว้าแชมป์แต่เขาก็พาทีมจบอันดับที่ 2 และที่ 4 ในปีต่อๆมาและยังได้เข้ารอบไปชิง ยูฟ่า คัพ แต่ก็พลาดท่าเป็นได้แค่เพียงรองแชมป์เท่านั้นซึ่งก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้วสำหรับทีมที่ฐานทางด้านการเงินไม่มั่นคงแบบนี้ ในปี 1995 และ1996 Borussia-Dortmund ที่มีการขับเคลื่อนโดยนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปอย่าง มาเธียส แซมเมอร์ ก็ทำให้ทีมสามารถคว้าทั้งแชมป์ลีกและแชมป์ฟุตบอลถ้วยรายการ เดเอฟเบ โพคาล ได้สำเร็จนอกจากนั้นในปีต่อมา คศ.1997 เสือเหลือง ประกาศศักดิ์ดาเป็นเจ้ายุโรปครั้งแรกด้วยการเอาชนะ ยูเวนตุส ไปได้ 3-1 ในรายการ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีก ไม่นานก็สามารถเอาแชมป์ในรายการ อินเตอร์คอนติเนลทอล คัพ สามารถเอาชนะ ครูไซโร่ มาได้ 2-0 โดยสถิติถูกบันทึกไว้ว่า ดอร์ทมุนด์ เป็นทีมจากเยอรมันทีมที่ 2 ที่ได้ครองบอลถ้วยรายการนี้ได้ รองมาจาก บาเยิร์น ที่เคยทำได้ในปี 1976 อย่างไรก็ตามชื่อเสียงเรียงนามของทาง ดอร์ทมุนด์ ได้ถูกประกาศออกไปทั่วยุโรปเป็นที่เรียบร้อยแน่นอนว่าย่อมมีนักเตะมากมายในยุโรปที่สนใจจะย้ายมาร่วมงานกับสโมสรแห่งนี้ ต่อมาในปี 2002 ดอร์ทมุนด์ กลับมาครองแชมป์ลีกได้อีกครั้งหนึ่งโดยที่เป็นการคว้าแชมป์ลีกโดยอดีตนักเตะของสโมสรและการกลับมาเป็นกุนซือของทีมนั่นก็คือ มาเธียส นั่นเองในฤดูกาลเดียวกันนอกจาก มาเธียส จะพา เสือเหลือง กลับมาครองแชมป์ลีกได้สำเร็จเขายังเกือบพาทีมคว้าแชมป์รายการ ยูฟ่า คัพ อีกด้วยแต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เป็นรองแชมป์เท่านั้น แต่แล้วคลื่นมรสุมลูกใหญ่ของสโมสรก็กลับมาอีกครั้งวิกฤติทางการเงินของ ดอร์ทมุนด์ เริ่มที่จะหนักขึ้นเรื่อยๆจนเกือบทำให้สโมสรจำเป็นต้องขายสนามเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ สาเหตุใหญ่มาจากการที่พวกเขาไม่ได้โควต้าไปลุยบอลยุโรปทำให้ทีมขาดทุน ในขณะที่คู่ปรับร่วมลีกอย่าง บาเยิร์น ให้กู้ยืมเงินมาใช้หนีอยู่ที่ราวๆ 2 ล้านยูโรเพื่อกู้หน้าให้กับสโมสรแต่ก็ไม่ได้ทำให้สภาพคล่องของทีมดีขึ้นสักเท่าไหร่เมื่อจู่ๆหุ่นของสโมสรก็ตกลงอย่างหน้าใจหายจนต้องใช้มาตราการลดค่าเหนื่อยของนักเตะลงให้เหลือเพียง 20% เท่านั้นเพื่อนำเงินมาหมุนใช้จ่ายในสโมสรและต่อมาก็ได้มีกลุ่มประกันภัยท้องถิ่นเข้ามาร่วมประครองสโมสรจนทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อสนามแข่งขันจาก เวสต์ฟาเลิน เป็น ซิกแนล อิดูน่า และจะใช้ไปจนกว่าจะถึงตามสัญญาคือปี 2021 ต่อมาสภาพการเงินของ Dortmund ก็เริ่มดีขึ้นและมีกำไรเข้ามาสู่สโมสรอีกครั้งโดยที่พวกเขาตัดสินใจขายนักเตะตัวสำคัญอย่าง ดาวิด โอดองเคอร์ ให้กับ เรอัล เบติส และ โทมัส โรซิคกี้ ให้กับ อาร์เซน่อล ในช่วงฤดูกาล 2005-2006 หลังจากนั้นทีมก็ทำท่าว่าเหมือนจะตกชั้นแต่ก็รอดเพราะจอดแต้มห่างจากกลุ่มตกชั้นอยู่ 1 คะแนน ในปี 2007 ก็ได้มีการแต่งตั้งกุนซือคนใหม่เป็น โทมัส ดอลล์ ถ้าจะถามว่าผลงานของกุนซือคนนี้เป็นยังไง ตอบได้ว่ายังไม่ค่อยเข้าตาแฟนบอลมากนักแต่ก็ดีที่ยังพาทีมเข้าไปชิงบอลถ้วย DFB ได้แม้ว่าจะจบที่การแพ้ไปแต่ถึงยังไงก็เริ่มที่จะทำให้แนวโน้มของทีมดูดีขึ้นมาแต่พอจบฤดูกาล 2008 ทาง โทมัส ดอลล์ ก็ตัดสินใจสละเก้าอี้ตำแหน่งผู้จัดกันทีมและได้กุนซือหมาดทะเล้นแต่เต็มไปด้วยฝีมือ อย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาร่วมทีม

จุดเปลี่ยนสำคัญคือการแต่งตั้งให้ คล็อปป์ มาเป็นกุนซือ

จุดเปลี่ยนสำคัญคือการแต่งตั้งให้ คล็อปป์ มาเป็นกุนซือ

อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าผลงานของทาง เสือเหลือง เริ่มที่จะดร็อปลงไปหลังจากที่ต้องปล่อยนักเตะตัวดีๆไปให้กับสโมสรอื่นเพื่อมาแก้ปัญหาทางด้านการเงินและมีการเปลี่ยนถ่ายครั้งใหญ่ไม่ว่าจะเป็นกุนซือหรือตัวนักเตะในทีมแต่การเข้ามาของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเพราะหลังจากนั้นทีมก็เริ่มดีขึ้นมาตามลำดับจนกระทั่งในปี 2009-2010 ด้วยการยกเครื่องใหม่ของกุนซือชาวเยอรมันก็ทำให้ เสือเหลือง กลับขึ้นมาอยู่หัวตารางของลีกและจบอันดับที่ 5 ของตารางได้ทำให้มีสิทธิ์ในการลงเล่นรายการบอลถ้วย ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก และปีถัดมาในฟุตบอลลีก ดอร์ทมุนด์ กลับมาคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จทำให้มีตั๋วเข้าไปเล่นเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แบบอัติโตมัตินอกจากนั้นยังสามารถป้องกันแชมป์ลีกได้สำเร็จและยังทำสถิติมีคะแนนสูงสุดได้ 81 คะแนนตั้งแต่เริ่มมีฟุตบอล บุนเดสลีก้า เยอรมัน จัดว่าเป็นทีมแรกของประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองเบียร์ที่ทำได้ แต่ว่าหลังจากนั้นก็ถูก บาเยิร์น มาทำลายสถิติไปอย่างขาดลอย คล็อปป์ ยังคงพาทีมเดินหน้าคว้าแชมป์อย่างต่อเนื่องทำให้เป็นยุคทองของสโมสรแห่งนี้ไปเลยก็ว่าได้ ด้วยทีมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและความก้าวหน้ามาถึง ทีมก็ลงตัวสักทีกลายเป็นทีมผลิตนักเตะดีดีขึ้นมาในโลกมากมาย นับว่าเป็นความยิ่งใหญ่ของสโมสรและเป็นเกรียติต่อแฟนบอลของพวกเขามากๆ สิ่งเดียวที่ทำให้ เสือเหลือง มาไกลได้เพียงนี้คงไม่ได้เกี่ยวที่ตัวผู้เล่นในทีม แต่เป็นแรงใจของ แฟนบอล ชาวเดอะ “เยลโล่ วอลล์” ที่ยังคงส่งความรัก กำลังใจ สามัคคีกกันอย่างเหนียวแน่น สนับสนุนให้กับทีมมาโดยตลอด ถึงแม้ว่ามรสุมของพวกเขาจะหนักหนาเพียงใดแต่ก็อย่าฝ่าฟันมันมาได้ นี่คือตัวอย่างของความสามัคคีของคนในชุมชนจากจุดเริ่มต้นที่น้อยนิดสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ หากเราชาวไทยอยากเห็นฟุตบอลไทยไปไกลแบบนี้คงต้องสามัคคีกันให้เหมือนกับที่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทำให้เราดูเป็นตัวอย่าง อ้างอิงจากสถิติขชอง CIES Football Observatory ที่มีการรวมรวมข้อมูลของแฟนบอล 51 ลีกทั่วโลกปรากฎว่า ดอร์ทมุนด์ ในช่วงปี 2013-2018 มีสถิติแฟนบอลเข้าชมเกมมากที่สุด โดยเฉลี่ย 1 เกมมีเข้าร่วมชมเกมมากถึง 80,000 คน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าความเป็นหนึ่งเดียวของ เสือเหลือง มีมากมายขนาดไหนและพวกเขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทุกเส้นทางอุปสรรคขวากหนามที่เข้ามาวนเวียนอยู่กับทีมมันไม่ได้มีคำว่าถาวรและตลอดไป เช่นเดียวกับอุปสรรคที่เราต้องเจอกันในทุกๆวัน หากยังมีความหวังและยังคงให้กำลังใจตัวเองเชื่อว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งที่มาของสโมสรที่มีชื่อว่า โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (Borussia Dortmund)

ชื่อสโมสร : โบรุสเซีย ดอร์ทมุน (Borussia Dortmund) ตัวย่อ BVB

ฉายา : เสือเหลือ,ผึ้งน้อย

สนาม : ซิกนาลอีดูนาพาร์ค (ความจุ 81,360 ที่นั่ง)

ก่อตั้ง : 19 ธันวาคม 1909

ผู้จัดการทีมคนปัจจุบัน (2020) : ปีเตอร์ สโตเกอร์

เว็บไซต์สโมสร : https://www.bvb.de/

ความผิดหวังเป็นแรงผลักดันให้สโมสรเดินหน้าขึ้น