แลมพาร์ด กับการหาส่วนผสมในแดนกลางให้กับ เชลซี

แลมพาร์ด กับการหาส่วนผสมในแดนกลางให้กับ เชลซี

แฟรงค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีม เชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังเผชิญกับอุปสรรคมากมายนับตั้งแต่เขาเข้ามากุมบังเหียนในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เริ่มจากการถูกแบนห้ามซื้อนักเตะใหม่มาร่วมทีมล่าสุด เขาต้องไม่มี จอร์จินโญ่ กองกลางทีมชาติอิตาลี ลงสนามเป็น 11 คนแรก ในเกมที่เอาชนะ คริสตัล พาเลซ 2-0 ในเกมลีกเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ในช่วงต้นฤดูกาลนี้ จอร์จินโญ่ เริ่มต้นได้อย่างยากลำบากในยุคของ แลมพาร์ด อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน อดีตมิดฟิลด์ นาโปลี ในศึกกัลโช เซเรีย อา อิตาลี ได้พิสูจน์ตัวเองจนกลายมาเป็นกุญแจสำคัญในแดนกลางทัพ “สิงโตน้ำเงินคราม” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขายังได้รับการยกย่องจาก แลมพาร์ด ว่าเป็นผู้นำในห้องแต่งตัวอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม มันเป็นโชคดีสำหรับ แลมพาร์ด เพราะการขาด จอร์จินโญ่ นั้น เป็นจังหวะพอดีกับที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กองกลางทีมชาติฝรั่งเศส หายจากอาการบาดเจ็บขาหนีบกลับมาลงสนามได้ในเกมกับ พาเลซ โดยดาวเตะเฟรนช์แมน ได้ลงยืนทำเกมในแดนกลางร่วมกับ มัตเตโอ โควาซิซ มิดฟิลด์ชาวโครเอเชีย พร้อมกับพา เชลซี คว้าชัยชนะในลีก 6 เกมติดต่อกัน และเก็บคลีนชีตได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เกม

แลมพาร์ด ยังคงใช้รูแปบบการเล่น 4-2-3-1 ซึ่งบรรดาลูกทีมของเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยที่ เมสัน เมาท์ จอมทัพดาวรุ่งชาวอังกฤษ ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจในบทบาท 10 และมี ก็องเต้ กับ โควาซิซ ช่วยผนึกกำลังในแดนกลาง

มันน่าสนใจว่า แลมพาร์ด จะจัดแผนอย่างไรเมื่อ จอร์จินโญ่ พร้อมกลับมาลงสนามได้ มันเป็นสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับโค้ชวัย 41 ปี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ ก็องเต้ โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดหลังจากหายมาจากอาการบาดเจ็บนับตั้งแต่เกมที่ เชลซี เอาชนะ เซาแธมป์ตัน 4-1 ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

สำหรับ ก็องเต้ นั้น เขาเป็นนักเตะที่สามารถวิ่งพล่านไปทั่วสนามได้ตลอดทั้ง 90 นาที และสถิติในเกมล่าสุดกับ พาเลซ นั้น อดีตมิดฟิลด์ เลสเตอร์ ซิตี้ ก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการสัมผัสบอล 94 ครั้ง, ผ่านบอล 47 ครั้ง, ผ่านบอลสำคัญ 3 ครั้ง, ตัดบอล 3 ครั้ง, แย่งบอลมาครองได้ 6 ครั้ง และวิ่งไป 11 กิโลเมตร

มันเป็นแบบฉบับการเล่นในสไตล์ของ ก็องเต้ เขาอาจแสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาบ้าง แต่สถิติก็แสดงให้เห็นว่า แข้ง “ตราไก่” ครอบคลุมพื้นที่ในสนามมากกว่าเพื่อนร่วมทีมของเขาจากระยะทางวิ่ง 11 กม. และการเคลื่อนไหวที่ไม่สิ้นสุดของเจ้าตัวถูกขีดเส้นใต้ด้วยความจริงที่ว่า เขายอดเยี่ยมเพียงใด

ตำแหน่งที่ดีที่สุดของ ก็องเต้ เป็นเรื่องของการถกเถียงกันมากในฤดูกาลที่ผ่านมา โดย เมาริซิโอ ซาร์รี่ อดีตเทรนเนอน์ชาวอิตาลี ของ เชลซี ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงสำหรับการเลือก จอร์จินโญ่ ยืนเป็นกองกลางตัวรับเพียงคนเดียว และให้ ก็องเต้ เล่นในตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ แลมพาร์ด ก็ยังคงใช้แนวทางเดียวกัน

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายใหญ่ เชลซี กล่าวว่ามันไม่ถูกต้องในการจัดหมวดหมู่ว่า ก็องเต้ เป็นกองกลางตัวรับ และเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาในเกมกับ พาเลซ เขาให้อิสระแก่ดาวเตะเฟรนช์แมน ในการวิ่งขึ้น-ลง และสามารถไปได้ทั่วสนาม โดยให้ โควาซิซ เป็นห้องเครื่องคอยควบคุมจังหวะของเกม

ในกรณีนี้ แลมพาร์ด อาจตัดสินใจที่จะจับคู่กับ ก็องเต้

ในกรณีที่ไม่มี จอร์จินโญ่ มันเป็น ก็องเต้ ที่สามารถเล่นได้ในตำแหน่งตัวควบคุมจังหวะของเกมและในเกมกับ พาเลซ ช่วงครึ่งแรก อดีตกองกลาง เลสเตอร์ ก็รับหน้าที่ในบทบาทนั้น และมีการผ่านบอลยาวสวยๆอยู่หลายครั้ง

ในกรณีนี้ แลมพาร์ด อาจตัดสินใจที่จะจับคู่กับ ก็องเต้ กับ จอร์จินโญ่ หลังจากพักเบรกทีมชาติ แต่ถ้าเขาจะยึดติดกับรูปแบบการเล่นในระบบ 4-2-3-1 ที่เขาใช้มาตลอดในระยะหลังนั้น นั่นหมายความว่าเกมต่อไป โควาซิซ อาจต้องไปนั่งอยู่ข้างสนาม

แฟนๆ เชลซี เพียงไม่กี่คนจะบ่นว่าควรให้โอกาส โควาซิซ เหมือนในช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล แต่แข้งชาวโครเอเชีย ดูมีอิสระในการเล่นมากขึ้นในยุคของ แลมพาร์ด มากกว่าในช่วงที่ ซาร์รี่ คุมทีม โดยอดีตกองกลาง เรอัล มาดริด สามารถเพิ่มมิติที่แตกต่างให้กับแดนกลางของ เชลซี ได้

หากเรามองจากสถิติที่ผ่านมา ไม่มีนักเตะ เชลซี คนใดที่มีค่าเฉลี่ยการเลี้ยงบอลมากเท่ากับ โควาซิซ อีกแล้ว และการยืนตำแหน่งของ กองกลาง “ตราหมากรุก” ในแต่ละเกมนั้นก็มีประโยชน์กับ “สิงโตน้ำเงินคราม” เป็นอย่างมาก

อีกทางเลือกหนึ่งของ แลมพาร์ด คือเปลี่ยนกลับไปเล่นในระบบ 4-3-3 ที่เขาใช้ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นซีซั่นที่ผ่านมา และตำแหน่งกองกลางซึ่งดูเหมือนว่า ซาร์รี่ จะใช้ไปในฤดูกาลที่แล้ว โดยให้ โควาซิซ และ ก็องเต้ ยืนเป็นมิดฟิลด์ขนาบข้าง จอร์จินโญ่

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นในที่นี้คือ มันหมายถึง แลมพาร์ด ทิ้งผู้เล่นคนใดคนหนึ่งที่รับบทบาทเพลย์เมคเกอร์คอยสร้างสรรค์เกม และคอยเข้าไปสนับสนุน แทมมี่ ฮับราฮัม หัวหอกดาวรุ่งชางอังกฤษในแดนหน้า

ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงในจะมีโอกาสน้อยมาก แลมพาร์ด คงไม่อยากปล่อยนักเตะตัวรุกอย่าง วิลเลี่ยน ปีกชาวบราซิล, เปโดร แข้งชาวสเปน และ คริสเตียน พูลิซิซ ปีกทีมชาติสหรัฐอเมริกา ที่กำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมไว้ข้างสนาม

ขณะเดียวกัน ดาวรุ่งที่ฟอร์มดีอย่าง เมาท์ ควรถูกดร็อปหรือไม่ เขาอาจจะไม่โดดเด่นเท่า วิลเลี่ยน หรือ พูลิซิซ ในเกมที่ผ่านมา แต่ความสำคัญของเขาที่มีต่อแผนของ แลมพาร์ด นั้นชัดเจนในความจริงที่ว่า เขาได้ลงสนามในพรีเมียร์ลีกทุกเกม และเป็นส่วนสำคัญของเกมรุก

นี่เป็นปัญหาที่ดีสำหรับ แลมพาร์ด ที่จะเจออย่างแน่นอน ผู้เล่นของเขากำลังท็อปฟอร์ม และ เชลซี รู้สึกถึงประโยชน์เหล่านั้น แต่มันเป็นเรื่องที่ยากจะตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า กุนซือ “สิงห์บลูส์” จะสามารถรับมือได้โดยไม่มีปัญหา และความท้าทายต่อไปของเขาคือ การปรับตำแหน่งกองกลางของเขาให้ยอดเยี่ยมอีกครั้ง

นี่เป็นปัญหาที่ดีสำหรับ แลมพาร์ด