เอฟซี เนิร์นแบร์ก (FC Nurnberg) ประวัติและความเป็นมาของสโมสรฟุตบอลแห่งนี้

เอฟซี เนิร์นแบร์ก ประวัติและความเป็นมา

สโมสรฟุตบอล เนิร์นแบร์ก หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการก็คือ (1. Fußball-Club Nürnberg Verein für Leibesübungen) เป็นสโมสรที่มีอายุมานานถึง 120 ปีถูกก่อตั้งเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 1900 มีถิ่นฐานตั้งอยู่ที่เมือบ เนิร์นแบร์ก รัฐบาวาเรีย ปัจจุบัน(คศ.2020)ลงเล่นอยู่ใน บุนเดสลีกา 2 เยอรมัน ผลงานโดยรวมนั้นไม่ได้โดดเด่นสักเท่าไหร่แต่ก็วนเวียนอยู่ในระหว่างลีก 2 และ ลีกสูงสุดของเยอรมัน สนามเหย้าปัจจุบัน มักซ์-มอร์ล็อค- สตาดิโอน สามารถคนเข้าชมในสนามได้อยู่ 50,000 ที่นั่งที่ถูกชัยมาตั้งแต่เริ่มมีการก่อตั้งฟุตบอลลีก บุนเดสลีก้า เยอรมัน ขึ่นมาเมื่อปี 1963 ความสำเร็จในเกมระดับภูมิภาคมากถึง 11 ครั้ง และยังสามารถคว้าแชมป์รายการ เยอรมัน แชมป์เปี้ยนชิพ อีก 7 ครั้ง นอกจากนั้นยังสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ด้วยการเป็นแชมป์บุนเดสลีก้า เยอรมัน ไป 1 สมัยและเป็นสมัยเดียวที่พวกเขาเคยคว้ามา และยังเป็นแชมป์ฟุตบอลถ้วย เดเอฟเบ โพคาล อีก 4 ครั้ง ตามสถิติในเวทีลูกหนัง เนิร์นแบร์ก ยังคงครองบัลลังค์ทีมระดับตำนานที่มีการตกชั้นมากที่สุดคือ 9 ครั้งแล้ว นอกจากสโมสรจะมีสโมสรฟุตบอลแล้ว เนิร์นแบร์ก ยังมีกิจการเกี่ยวกับกีฬาประเภทอื่นอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น แฮนด์บอล มวย ฮอกกี้ โรลเลอร์เบรด สเก็ตน้ำแข็ง ว่ายน้ำ และ สกี เป็นต้น แชมป์แรกของพวกเขาเกิดขึ้นในเกมฟุตลีกทางเยอรมันตอนใต้เมื่อปี 1916 และมาได้แชมป์รายการสูงสุดของประเทศในปี 1920

ย้อนรอยประวัติสโมสร ตั้งแต่เริ่มมีการก่อตั้ง จากอดีต – ปัจจุบัน

ปี 1900 จุดเริ่มต้นการก่อตั้งสโมสรจากกลุ่มวัยรุ่น 18 คนที่พบกเจอกันในพับแห่งหนึ่งย่านกลางเมือง เนิร์นแบร์ก พวกเขามีความตั้งใจจะรวมตัวกันเพื่อเล่นฟุตบอลด้วยกันจนท้ายที่สุดกลับเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆของราวตำนานสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อว่า เนิร์นแบร์ก ต้องยอมรับว่าอิทธิพลของวงการฟุตบอลในช่วงนั้นมาแรงแซงทุกกีฬาจริงๆ จากเดิมคนในพื้นที่จะให้ความนิยมกับกีฬารักบี้เป็นอย่างมากแต่ในท้ายที่สุด ฟุตบอล กลับเป็นกีฬายอดฮิตขวัญใจประชาชนชาวเมืองเบียร์ไปโดยปริยาย ในช่วงปี 1909 เนิร์นแบร์ก ยังคงมีมาตราฐานการเล่นที่ดีจนทำให้ทีมมีโอกาสได้ผ่านเข้าร่วมในรายการบอลถ้วย เยอรมันตะวันตก แชมเปี้ยนชิพ แต่ทีมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์มาครอง แต่ปี 1916 พวกเขาจขึ้นแท่นคว้าแชมป์แรกในรายการเกมลีกระดับภูมิภาคได้สำเร็จ ต่อจากนั้นอีก 2 ปีให้หลัง พวกเขาคว้าแชมป์ลีกเยอรมันฝั่งตะวันตกในอีกหนึ่งครั้งซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ของหน้าประวัติศาสตร์สโมสร นอกจากนั้นในบันทึกประวัติศาสตร์เมืองเบียร์ เนิร์นแบร์ก ได้ทำสถิติไร้พ่าย 104 แมตช์โดยเริ่มตั้งแต่ฤดูกาล 1918 จนถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 1922 พวกเขาได้รับฉายาจากเหล่าประชากรในเยอรมันในยุคนั้นว่า Der Club ซึ่งถ้าแปลตรงตัวก็สโมสรด้วยไสตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครพวกเขาถูกจดจำเรื่องราวในอดีตว่าเป็นหนึ่งทีมฟุตบอลที่เก่งกาจและมีสไตล์การเล่นที่ยอดเยี่ยมของประเทศเยอรมันแต่ถึงจะได้คำชมมากมายจากแฟนบอลในยุคนั้นแต่สโมสรก็ไม่เคยหยุดที่จะผลักดันศักยภาพของตัวเองขึ้นไป จนในช่วงฤดูกาล 1920 เนิร์นแบร์ก ผ่านทะลุเข้าถึงนัดชิงฟุตบอล เยอรมัน แชมป์เปี้ยนชิพ ซึ่งเป็นถ้วยสูงสุดของระดับประเทศในยุคนั้น พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์ลูกหนังด้วยการผ่านเข้าไปในปีแรกก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้ในทันที โดยเกมในนัดชิงพวกเขาต้องเจอกับ กรอยเธอร์ เฟือร์ธ อดีตแชมป์เก่าสมัยล่าสุดที่พึ่งผ่านมาได้ 2-0 นับเป็นความภาคภูมิใจของบรรดาเหล้าสาวก

“เดอ คลับ” อย่างมากมาย นอกจากนั้นในช่วงยุคที่ไฟสงครามยังครุอยู่ เนิร์นแบร์ก กลายเป็นทีมที่สร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมพวกเขามาป้องกันแชมป์ในระดับประเทศได้อีกครั้งหลังจากเอาชนะ เบลาไวส์ ไปอย่างถล่มทลาย 5-0 ต่อจากนั้นอีกหนึ่งฤดูกาลถัดมา พวกเขาเข้าชิงแชมป์บอลระดับประเทศเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัรแต่ในปีนี้เป็นทีของ ฮัมบูร์ก ที่คว้าแชมป์ไปครองได้กฎกฏิกาการเล่นแบบแฟร์เพลย์ เนื่องจากเกมดังกล่าวมีการตัดสินผิดพลาดของกรรมการอยู่หลายช่วงหลายตอนจนยืดเยื้อไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษและจบกันที่ผลสกอร์ 1-1 ทางสมาคมฟุตบอลของ เยอรมัน เห็นพร้องต้องกันที่จะยกแชมป์ในปีนี้ให้กับ ฮัมบูร์ก ถัดมาอีก 2 ฤดูกาล เนิร์นแบร์ก ยังคงกลับมาเดินหน้าชิงชัยในรายการ เยอรมัน แชมป์เปี้ยนชิพ ได้อีกครั้งและครั้งนี้เป็นการวนมาเจอกับคู่ปรับเก่าที่เคยพลาดท่าเสียแชมป์ไปในครั้งก่อนนั่นก็คือ ฮัมบูร์ก แต่เกมนี้ เนิร์นแบร์ก โชว์ฟอร์มได้โหดกว่าจนสุดท้ายเป็นฝ่ายที่ชนะไปคว้าแชมป์รายการใหญ่ในระดับประเทศเป็นครั้งที่ 3 พวกเขายังคงเดินหน้าไล่ล่าความสำเร็จแบบไม่หยุดหย่อนในปี 1925 พวกเขามาป้องกันแชมป์ได้สำเร็จเป็นครั้งที่ 4 ที่พวกเขาคว้าแชมป์รายการนี้มาได้และในที่สุดผลงานประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่เมื่อพวกเขาเข้าไปชิงชัยใน เยอรมัน แชมป์เปี้ยนชิพ เป็นครั้งที่ 6 และคว้าแชมป์ 5 สมัยตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมาสร้างชื่อเสียงให้ แฟนบอล เป็นอย่างมากในยุคนั้น หลังจากที่ประสบความสำเร็จในปี 1927 ต่อมาอีก 2 ฤดูกาลให้หลังดูเหมือนว่าผลงานของ เดอ คลับ จะเริ่มดร็อปลงไปจนไม่ได้ผ่านเข้าไปชิงแชมป์ในรายการ เยอรมัน แชมป์เปี้ยนชิพ และเมื่อเข้าสู่ช่วงของยุค นาซี ที่เข้ามาครองอำนาจภายในประเทศทั้งทีมฟุตบอลสโมสรกีฬาถูกจัดระเบียบระบบใหม่ทั้งหมดเช่นเดียวกับ เนิร์นแบร์ก ที่ต้องแบกรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วยแต่แล้วด้วยความที่เป็นทีมฟุตบอลที่มีรูปแบบการเล่นที่มีสไตล์เป็นของตัวเองทำให้พวกเขากลับมาโชว์ฟอร์มได้ดีอย่างรวดเร็วและขยับตัวขึ้นไปจนสามารถเข้ารอบชิงชัยในรายการ เยอรมัน แชมป์เปี้ยนชิพ ไปได้อีกครั้งหนึ่งแต่ก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ในปีนั้นได้พวกเขาต้องพลาดท่าแพ้พ่ายไปให้กับยอดทีมขวัญใจชาวเมืองหลวงอย่าง ชาลเก้ 04 แต่ใช่ว่าพวกเขาจะยอมแพ้ในหนทางที่แสนจะลำบากครั้งนี้ในปีต่อมาพวกเขาสามารถล้างตากับการเข้าไปเจอกับ ชาลเก้ ได้อีกครั้งในรายการฟุตบอลถ้วย เดเอฟเบ โพคาล โดย เนิร์นแบร์ก ขย้ำชัยชนะไปได้ 2-0 คว้าแชมป์บอลถ้วยรายการแรกของสโมสรได้สำเร็จ ในยุคจรรกวัด นาซี เนิร์นแบร์ก ยังคงเป็นทีมที่มีชื่อเสียงโด่งดังและสร้างชื่อเสียขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง 10 ปีหลังจากที่พวกเขาห่างหายไปจากรายการ เยอรมันแชมป์เปี้ยนชิพ ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาปัดฝุ่นแชมป์รายการนี้ได้ในปี 1936 ด้วยการพลิกเก็บชัยชนะเหนือ ฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ ไปได้ 2-1 แต่หลังจากนั้นปีต่อมาแม้ว่าจะสามารถผ่านเข้าชิงแชมป์ระดับประเทศได้แต่สุดท้ายก็ต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่ ราชันสีน้ำเงิน ไป 2-0 หมดสิทธิ์ในการป้องกันแชมป์ ในช่วง คศ .1939 เนิร์นแบร์ก เก็บถ้วย เดเอฟเบ โพคาล ได้เป็นสมัยที่สอง ด้วยการเอาชนะ วัลดอฟ มันน์ไฮม์ ไปได้ 2-0 ฯ สนาม โอลิมเปียสตาดิโอน หลังจากผ่านพ้นไปหลายปีกลับมาในช่วงยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการเล่นระบบใหม่ของฟุตบอลเยอรมันหลังจากที่เหล่าทัพของ นาซี ต้องพ่ายแพ้ลงไป เนิร์นแบร์ก ถูกจัดให้ลงเล่นใน โอเบอร์ลีก้า เยอรมัน จัดว่าเป็นลีกสูงสุดในระดับภูมิภาคของเยอรมันตะวันตก ณ ตอนนั้น ก่อนที่จะรวมประเทศเยอรมันเป็นหนึ่ง พวกเขาใช้เวลาใน โอเบอร์ลีกา ไม่นานก็คว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จแต่ในช่วงที่พวกเขาคว้าแชมป์มาได้สมาคมฟุตบอลเยอรมันยังไม่มีการจัดตั้งให้ชิงแชมป์ระดับประเทศ หลังจากที่ไฟสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในที่สุดพวกเขาก็กลับมาคว้าแชมป์ เยอรมัน แชมป์เปี้ยนชิพ ได้เป็นสมัยที่ 7 ในช่วงปี 1948 หลายปีต่อมาในเส้นทางของศึกลูกหนัง โอเบอร์ลีก้า เนิร์นแบร์ก ยังคงยืนหนึ่งครอแชมป์ระดับภูมิภาคมาได้อีกหลายสมัยจนกระทั้งในปี 1961 หลังจากที่เข้าชิงรายการใหญ่ของประเทศอยู่หลายครั้งแต่ยังไม่สำเร็จพวกเขามาคว้าแชมป์ได้ในปีนี้ด้วยการเชือดสโมสรใหญ่อย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไปได้เ้สนสกอร์ชัย 3-0 สร้างชื่อเสียงให้กับสโมสรได้เป็นครั้งที่ 8 เข้าสู่ฤดูกาล 1962 แม้ว่า เดอ คลับ จะกลับเข้าชิงแชมป์รายการใหญ่ระดับประเทศได้อีกครั้งแต่ว่าครั้งนี้เป็นทีที่พวกเขาต้องพลาดท่ามาบ้างส่งแชมป์ใหญ่ให้กับ เอฟซี โคโลญจน์ ไปอย่างน่าผิดหวัง แต่ในปีเดียวกันก็สร้างรางวัลปลอบใจให้กับแฟนบอลได้ด้วยการคว้ารางวัลบอลถ้วย เดเอฟเบ โพคาล และด้วยความที่ เนิร์นแบร์ก เป็นทีมที่ได้แชมป์ระดับ เยอรมัน มาครองพวกเขาได้โอกาสในการผ่านเข้าไปเล่นบอลถ้วยใหญ่ในยุโรปอย่าง ยูโรเปี้ยน คัพ และกลับมาด้วยรอบ 8 ทีมสุดท้าย หลังจากนั้นก็มีปารฏิรูปแบบลีกสมัยใหม่โดยเปลี่ยนมาใช้เป็นรายการ บุนเดสลีก้า เยอรมัน ด้วผลงานที่โดดเด่นของ เนิร์นแบร์ก และการจบอันดับ 2 ของ โอเบอร์ลีกา ก็นำพาให้พวกเขาติด 1 ใน 16 ทีมของลีกรูปแบบใหม่ได้ ด้วยการเปิดตัวของพวกเขาในช่วงปีแรกๆ เนิร์นแบร์ก ยังประครองตัวให้ติดอยู่ในเกมลีกอยู่มาได้ตลอดรอดฝั่งจนกระทั้งชื่อเสียงครั้งใหญ่ในหน้าศักราชใหม่ พวกเขาได้แชมป์ บุนเดสลีก้า เยอรมัน ในปี 1968 หากนับจากความสำเร็จในระดับประเทศครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 9 ของพวกเขาที่ทำได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานฤดูกาลต่อมาด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นภายในทีมและการตัดสินใจอันผิดพลายของ มักช์ เมอร์เคล กุนซือของทีมในเวลานั้น เขาตัดสินใจโละแข้งเก่าในทีมออกเกือบยกแผงด้วยความคิดที่ว่านักเตะมีความแก่เกินไปทำให้ในปีต่อมาผลงานของพวกเขาก็ต้องลงอย่างมาก และในที่สุด มักช์ เมอร์เคล ก็ถูกปลดจากตำแหน่งแต่ก็ไม่สามารถแก้ไขกับเหตุการณ์ที่เขาสร้างเอาไว้ได้ทำให้ เนิร์นแบร์ก จบรองอันดับสุดท้ายของรายการ บุนเดสลีกา เยอรมัน ตกชั้นลงมาเล่นในลีก เรกิโอนาลีกา ที่ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็น บุนเดสลีก้า 2 เยอรมัน ในปี 1974 พวกเขาใช้เวลาวนเวียนอยู่ใน ดิวิชั่น 2 อยู่นานหลายปี ทีมมีโอกาสลุ้นเลื่อนชั้นในปี 1976 ด้วยการเตะนัดเพลย์ออฟกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แต่ก็พ่ายแพ้ไปทำให้พวกเขาต้องก้มหน้าก้มตาหาทางกลับมาคืนสู่ลีกสูงสุดของตารางต่อไป ในที่สุด 8 ปีที่พวกเขาวนเวียนใน เรกิโอนาลีกา ก็สามารถเลื่อนชั้นคืนสู่ดิวิชั่นสูงสุดได้ในปี 1978 หลังจากที่เฉือนเอาชนะ ร็อต-ไวส์ เอสเซ่น ในเกมเพลย์ออฟไปด้วยสกอร์รวม 3-2 พวกเขาเลื่อนชั้นสู่ บุนเดสลีก้า เยอรมันได้ในปี 1978-79 แต่เพียงแค่ปีเดียวก็ต้องกลับมาตายรังอีกครั้งพวกเขาจบซีซั่นด้วยการเป็นรองบ๊วยทำให้ต้องตกชั้นลงมาเหมือนเช่นเคย ต่อมาในปี 1980 เนิร์นแบร์ก กลับเลื่อนชั้นขึ้นมาได้อย่างอัตโนมัติหลังจากที่คว้าแชมป์ ลีก้า 2 ได้สำเร็จ ต่อมาในปี 1982 “เดอ คลับ” เกือบจะได้จับถ้วยแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล ได้เป็นสมัยที่ 4 แต่ก็ดันพลาดท่าแพ้ให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ไปด้วยสกอร์ชัย 4-2 หลังจากการเลื่อนชั้นขึ้นมาได้อย่างมั่นคงถึง 4 ปีสุดท้ายผลงานของทีมก็เริ่มแผ่วลงไปจนทำให้ต้องจบด้วยการรั้งอันดับสุดท้ายของตารางในฤดูกาล 1983-84 ก่อนที่จะตกชั้นลงไปในปีต่อมา แต่พวกเขาก็ใช้เวลาไม่นานผ่านไปแค่ปีเดียวก็กลับเลื่อนชั้นขึ้นมาได้เหมือนเช่นเคย หนนี้พวกเขาใช้เวลาอยู่กับลีกสูงสุดอยู่ 9 ปีสุดท้ายทีมกลับมาจุดจบเหมือนเคยคือการตกชั้นลงสู่ดิวิชั่น 2 อีกครั้งและเป็นเหตุการครั้งใหญ่ใน 2 ปีต่อมาเมื่อสโมสร ประสบปัญหาเกี่ยวกับการเงินอย่างหนักแถมยังโดนหักคะแนนในลีกไปอีก 6 คะแนนจนทำให้พวกเขาต้องล่วงชั้นถึงจุดต่ำกว่าที่เคยมีมาพวกเขาต้องตกชั้นลงสู่ดิวิชั่น 3 ในปี 1996 แต่ด้วยผลงานของทีมที่ดีใช้เวลาแค่ปีเดียวในลีก้า 3 ก็ทะยานกลับขึ้นมาอยู่ใน บุนเดสลีก้า 2 เยอรมัน ได้สำเร็จและมีการแก้ไขปัญหาเรื่องการเงินออกไปได้ด้วยดีในปีที่เลื่อนชั้นขึ้นมา และในฤดูกาลต่อมาเมื่อปี 1999 เป็นปีทีมีโซนหนีต้ายอยู่รวมกันถึง 5 ทีมพวกเขาต้องตะเกียดตะกายเพื่อ 3 คะแนนกันอย่างหนักจนสุดท้าย เนิร์นแบร์ก ต้องตกม้าตายทั้งที่คว้าชัยในเกมสุดท้ายมาได้แต่ลูกได้เสียกับน้อยกว่า ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต ทำให้พวกเขาต้องจบอันดับที่ 16 ของตารางพร้อมกับล่วงตกชั้นลงไปในปีต่อมา พวกเขาใช้เวลาอยู่ใน ลีก้า 2 อยู่นาน 2 ปีก็คว้าแชมป์ลีกมาได้พร้อมกับการเลื่อนชั้นขึ้นไปสู่ลีกสูงสุดได้ในปี 2000-2001 สโมสรยังคงวนเวียนอยู่ในลีกสูงสุดและลีก 2 มาเรื่อยๆเหตุการณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้นในฤดูกาล 2007 ที่พวกเขาตัดสินใจเซ็นนักเตะชื่อดังอย่าง โทมัส กาลาเซ็ต มิดฟิลด์สัญชาติเช็คและยังเคยเป็นอดีตกัปตันทีมของสโมสรชื่อดังในฮอลแลนด์อย่าง อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม เขาสามารถช่วยให้ทีมจบอยู่ในอันดับ 6 ของตารางไว้ได้ทำให้ เนิร์นแบร์ก ได้ผ่านเข้าไปเล่นบอลถ้วยในรายการยุโรป และจบด้วยการคว้าแชมป์รายการ เดเอฟ เบโพคาล เป็นสมัยที่ 4 ด้วยการเฉือนเอาชนะ สตุ๊ทการ์ต ไปด้วสกอร์ชัย 3-2 ด้วยประตูฉลองแชมป์ของนักเตะอย่าง แยน คริสเตียนเซ่น ที่ย้ายทีมเข้ามาในช่วงหน้าร้อนของฤดูกาลนั่น สถานการ์ของพวกเขายังไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ในชาวงปี 2008 แม้ว่าจะผ่านเข้ารอบไปในรายการบอลถ้วยยุโรป ถึงรอบ 32 ทีมสุดท้ายแต่ผลงานในเกมลีกกับย่ำแย่จนน่าใจหายผลสุดท้ายทีมก็ต้องตกชั้นลงไปในที่สุดแถมสโมสรยังปลดกุนซือที่เคยพาทีมคว้าแชมป์ลีกและบอลถ้วยมามากมายอย่าง ฮันส์ เมเยอร์ และถูกแทนที่ด้วย โธมัส วอน ฮีเซ่น ต่อมาในฤดูกาลถัดมา เนิร์นแบร์ก เลื่อนชั้นกลับขึ้นมาได้อีกครั้งหลังจากที่จบอันดับ 3 ของ ลีก้า 2 ลงเตะเพลย์ออฟกับทาง ค็อตบุส ก่อนจะชนะด้วยสกอร์รวม 2 นัดไปอย่างขาดลอย 5-0 พวกเขาตกชั้นอีกครั้งในปลายฤดูกาล 2013-14 ในฐานะทีมรองบ๊วยของตาราง และกลับมาบนลีกสูงสุดได้อีกครั้งในปี 2018 เลื่อนชั้นขึ้นมาแบบอัตโนมัติ หลังที่จบด้วยอันดับ 2 ของ ลีก้า 2 แต่ก็ไม่นานเท่าไหร่เส้นทางบนลีกสูงสุดที่มีแรงกดดันและการแข่งขันที่เข็มข้นทำให้ เนิร์นแบร์ก หอบข้าวหอบของกลับสู่ ลีก้า 2 ของเยอรมันเหมือนเช่นเคย มาจนถึงยุคปัจจุบัน เนิร์นแบร์ก ยังคงอยู่ในตารางลีก้า 2 ผลงานก็ยังประครองอยู่หัวของตารางแต่ก็ยังไม่มีโอกาสที่จะหาทางกลับขึ้นมาสู่ บุนเดสลีก้า เยอรมัน ได้สำเร็จ สรุปผลงานของ เนิร์นแบร์ก ตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบัน

แชมป์ลีกสูงสุดของเยอรมัน

แชมป์ลีกสูงสุดของเยอรมัน/บุนเดสลีกา เยอรมัน หรือ เยอรมัน แชมป์เปี้ยนชิพ ในอดีต

ชนะเลิศ : 9 สมัย มีฤดูกาล 1919-20 , 1920-21, 1923-24 ,1924-25, 1926-27 ,1935-36, 1947-48, 1960-61, 1967-68

รองชนะเลิศ 3 สมัย : 1934 ,1937 ,1961-62

ซไวเทอบุนเดสลีกา

ชนะเลิศ 4 สมัย : 1980,1985,2001,2004

เดเอฟเบ โพคาล

ชนะเลิศ 4 สมัย : 1935,1939,1962,2007

รองชนะเลิศ 2 สมัย : 1940,1982

เดเอ็ฟเอ็ล ซุปเปอร์คัพ

ชนะเลิศ 2 สมัย : 1919,1924

ยูฟ่า อินเตอร์โตโต่ คัพ

ชนะเลิศ 1 สมัย : 1968

และนี่ก็นำมาเพื่อให้ผู้อ่านได้ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสโมสรฟุตบอลเก่าแก่ในประเทศเยอรมัน อาจจะไม่มากมายหรือระเอียดสักเท่าไหร่แต่ก็ขอฝากไว้เพื่อเป็นข้อมูลคร่าวๆสำหรับท่านที่ต้องการเสาะหาอ่านข้อมูล

ชื่อสโมสร : เนิร์นแบร์ก (1. Fußball-Club Nürnberg Verein für Leibesübungen)

ฉายา : Der Club (สโมสร) ,Die Legende(ทีมในตำนาน), Der Ruhmreiche(ทีมอันรุ่งโรจน์)

ก่อตั้งวันที่ : 4 พฤษภาคม 1900

สนามเหย้าปัจจุบัน : มัคส์-มอร์ล็อก-สตาดิโอน ( ความจุ 50,000 ที่นั่ง)

กุนซือคนปัจจุบัน : มิชชาเอล เคิลเนอร์

เว็บไซต์สโมสร : http://www.fcn.de/home/

ย้อนรอยประวัติสโมสร ตั้งแต่เริ่มมีการก่อตั้ง