เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กับการพา สเปอร์ส ฝ่าวิกฤต

เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กับการพา สเปอร์ส ฝ่าวิกฤต

สิ่งที่เราเห็นอย่างเถียงไม่ได้ในวงการฟุตบอล คือ ช่วงการถดถอยของทีมใดทีมหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถกลับมาทำผลงานได้ดีเหมือนเดิม การคืนค่า การฟื้นฟู และการปรับปรุงทีม ถูกปล่อยให้ยาวนานไปตามกาลเวลาจนเกิดวิกฤต เพราะทีมฟุตบอลจะถูกตัดสินจากผลการแข่งขันว่า พวกเขาจะอยู่ในสถานะที่ดีที่สุดหรือแย่ที่สุด

มันเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะองค์ประกอบต่างๆ ของสโมสรมีมุมมองที่แตกต่างกันในเรื่องกลยุทธ์ และจังหวะที่จำเป็นในการก้าวไปข้างหน้า มันหมายถึงการขาดความเด็ดขาดในตลาดนักเตะ และเมื่อถึงเวลาตัดสินใจบางทีก็มักจะเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุผลตามที่ต้องการ

ในอีกด้านหนึ่งคุณมี เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ซึ่งเป็นโค้ชที่ต้องการทำให้ทีมของเขาดีเท่าที่จะเป็นไปได้และชนะในเกมต่อไป ในอีกด้านหนึ่งคุณมี เดเนี่ยล เลวี่ ประธานสโมสร และเป็นคนที่วิเคราะห์โลกฟุตบอล ซึ่งกำลังอยู่ในสโมสรชั้นนำ และมีวิธีคิดที่ต่างออกไป

สรุปใน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มีโค้ชที่จะดู และประเมินผู้เล่นบนพื้นฐานของสิ่งที่พวกเขาสามารถทำเพื่อทีม ในขณะที่เจ้าของสโมสรยังมีความคิดอีกข้างหนึ่งในเรื่องของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม เลวี มีแนวโน้มที่จะดูทีมของเขาในแง่ของสิ่งที่เขาสามารถทำเพื่อธุรกิจได้ในขณะที่ยังคงต้องการผลลัพธ์บนสนาม

ในสถานการณ์เช่นนี้ การตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับประธานสโมสรเสมอ สิ่งนี้นำไปสู่สถานการณ์ที่ผู้เล่นได้ต่อสัญญากับมุมมองเพื่อเพิ่มความสามารถทางการตลาดของพวกเขา และขายพวกเขาให้กับทีมอื่น หรือการเซ็นสัญญากับนักเตะที่โค้ชไม่อยากได้มาร่วมทีม

โปเช็ตติโน่ เคยกล่าวว่า “ผู้คนอาจพูดว่า ความสัมพันธ์ของผมกับประธานแย่ลง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริงเลย สิ่งสำคัญคือ การรักษาความสัมพันธ์และเคารพซึ่งกันและกันเราทั้งคู่จำเป็นต้องรู้วิธีการทำงาน และปรัชญาของเราเพื่อให้อยู่ในแนวทางเดียวกัน”

“ในเวลาที่ยากลำบาก ผู้จัดการทีมก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ผมเคยพูดติดตลกเล็กน้อยเกี่ยวกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของเรา แต่ความจริงเราได้รับความเจ็บปวด มันเป็นเวลาที่จะต้องรวมตัวกันอย่างแท้จริง และพลิกผันสิ่งต่างๆในหัว และนำฟอร์มที่ดีกลับคืนมาให้ได้”

นั่นคือข้อความเดียวกันที่แพร่กระจายภายในสโมสร มันเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนตั้งแต่ประธานไปจนถึงพนักงานทุกคนที่เกี่ยวข้องภายในทีม มันเป็นความรับผิดชอบของทีมทั้งหมด ซึ่งจะสามารถเอาชนะใครก็ได้เมื่ออยู่ในฟอร์มที่ดี

ย้อนกลับไปในนัดชิงฯศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน ซึ่ง สเปอร์ส พ่ายให้กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ไป 0-2 นั้น มันเป็นเกมที่ซ่อนความบกพร่องของ โปเช็ตติโน่ และลูกทีมของเขาไว้

สถิติหลังจากเกมนั้น ยิ่งทำให้เจ็บปวด เพราะ สเปอร์ส แพ้ 19 จาก 41 เกมที่ผ่านมาในการแข่งขันทั้งหมดทุกรายาการ และการพ่ายแพ้ บาเยิร์น มิวนิค คาบ้าน 2-7 ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา และบุกไปพ่าย ไบร์ทตัน 0-3 ในอีก 4 วันต่อมานั้น มันเป็นผลงานที่ย่ำแย่

การแถลงข่าวหลังเกมแพ้ บาเยิร์น นั้น เป็นปฏิกิริยาที่เราเห็นได้จาก โปเช็ตติโน่ ว่าทีมของเขากำลังเกิดวิกฤตอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งที่จำเป็นตอนนี้คือความสงบ และมุ่งมั่นที่จะทำให้แน่ใจว่าสิ่งต่างๆ จะไม่แย่ลงไปอีก ถ้านั่นหมายถึงการที่ต้องใช้นักเตะบางคนที่อนาคตยังไม่แน่นอนเพื่อช่วยทีมไปก่อน

โปเช็ตติโน่ เคยตำหนิสโมสรเนื่องจากการไม่ยอมทุ่มเงินซื้อผู้เล่นใหม่หรือไม่? เขาพยายามที่จะส่งนักเตะลงเล่นโดยเตือนทุกคนที่เขาพูดมาตลอดว่า ต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยหาก โค้ชชาวอาร์เจนไตน์ จากไป เขาจะต้องการทำให้แน่ใจว่า ทีมยังมีนักเตะที่ดีที่สุดอยู่ในสโมสร

เทรนเนอร์วัย 47 ปี ไม่เคยถามสโมสรสำหรับเรื่องผู้เล่นใหม่ หรือเรื่องเงิน สิ่งที่เขาทำ และเขาพูดอย่างนี้ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา คือ ทำให้ชัดเจนว่า เขาต้องการเริ่มสร้างสิ่งใหม่ๆให้กับ สเปอร์ส และหลายคนในสโมสรรู้สึกถึงความกระตือรือร้นที่ได้เริ่มขึ้นแล้ว

อย่างไรก็ตาม โปเช็ตติโน่ เคยระบุปัญหาเมื่อนานมาแล้วว่า เขาไม่ได้รับการตอบสนองมากนักตามข้อเรียกร้อง แต่สโมสรเชื่อว่าในระยะต่อไปของโครงการ สเปอร์ส กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น ผู้เล่นบางคนได้ถูกขาย หรือจะขายในเดือนมกราคมนี้และฤดูร้อนถัดไป ขณะที่ผู้เล่นใหม่เพิ่งมาถึงเมื่อไม่นานมานี้

มันเป็นการยากที่จะถาม เลวี ที่เชื่อว่าเขาทำสิ่งที่อยู่ในความสนใจที่ดีที่สุดของสโมสรมาตลอด คุณเพียงแค่ต้องเดินเข้าไปในสนามกีฬาแห่งใหม่ที่ใหญ่โตเพื่อรับรู้ว่าในหลายๆทาง เขาได้ทำเพื่อแฟนบอลและสโมสรมากกว่าตัวเอง

นอกจากนี้ สิ่งที่เป็นคำตัดสินเกี่ยวกับการเจรจาต่อรองของ เลวี่ ในเรื่องการซื้อ-ขายนักเตะนั้น มีหลายครั้ง เมื่อนักเตะย้ายออกไปจะต้องได้รับการอนุมัติจากกุนซือเสียก่อน แต่ในความเป็นจริงนักเตะของ สเปอร์ส หลายคนย้ายออกไปโดยที่ โปเช็ตติโน่ ไม่ได้ตัดสินใจด้วย

สถานการณ์เหล่านั้นสร้างความสับสน นักเตะอย่าง แดนนี่ โรส, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ และ แยน แฟร์ทองเก้น มีโอกาสถูกปล่อยตัวใน แต่พวกเขายังคงอยู่ที่สโมสร ในขณะที่ คริสเตียน อิริคเซ่น ได้รับการเสนอสัญญาใหม่ แต่เขาปฏิเสธ เพราะต้องการความท้าทายใหม่ และต้องการย้ายไปลาลีกา แต่ บาร์เซโลน่า หรือ เรอัล มาดริด ไม่สนใจที่จะซื้อเขา

โปเช็ตติโน่ เคยตำหนิสโมสรเนื่องจากการไม่ยอมทุ่มเงิน

ในขณะที่กลยุทธ์นอกสนามเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ก็มีข้อผิดพลาดในสนามเช่นกัน ตามที่ผู้เล่นและผู้จัดการทีมออกมายอมรับด้วยตัวเอง แต่สโมสรก็เข้าใจว่า อาการการบาดเจ็บของนักเตะคือสาเหตุ แต่ตอนนี้ทุกคนกลับมาฝึกซ้อมแล้ว

“ทีมสูญเสียความมั่นใจ และเราต้องทำงานเพื่อฟื้นฟูมัน เราคุยกับผู้เล่น เราบอกพวกเขาว่าเราแพ้เพราะความผิดพลาดทั้งหมดของเรา แต่เราต้องลืมมันให้ได้ ไม่มีใครสามารถซ่อนความผิดหวังไว้ได้ เราต้องรับผิดชอบร่วมกัน” กุนซือ “ไก่เดือยทอง” กล่าว

ส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบนั้นคือ หาสาเหตุว่าทำไมผลลัพธ์ที่ตกต่ำเช่นนี้ มีกูรูหลายคนมีความคิดว่า สเปอร์ส ในเวลานี้ เป็นทีมที่ทำงานน้อยกว่าที่เคยเป็นมา และพวกเขาเพรสซิ่งรวมไปถึงต่อบอลน้อยกว่าเมื่อก่อน

ในปีแรกของ โปเช็ตติโน่ ระบบที่ใช้บ่อยที่สุดคือ 3-4-3 หรือ 4-4-2 โดยที่แบ็ค 2 ฝั่งเติมเกรุกตลอดเวลา แต่ก็กลายเป็นที่ชัดเจนสำหรับ โค้ชอาร์เจนไตน์ และทีมของเขาจากในฤดูกาลที่ผ่านมาว่า “ไก่เดือยทอง” กลับใช้แนวรับ 5 คน นั่นทำให้เกิดการเพรสซิ่งในแดนคู่แข่งน้อยลง เพราะแนวรุกของพวกเขาก็ถูกลดจำนวนไปด้วย

ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในทีมอายุมากขึ้น และชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้วิ่งพล่านได้เหมือน 3-4 ปีก่อน ความสดและความดุดันสมัย โปเช็ตติโน่ มาคุมทีมช่วงแรกนั้นหายไป มันก็เป็นที่น่าสังเกตว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะเล่นเกมแรงดันสูงสนามเก่าซึ่งมีขนาดเล็กย่าง ไวท์ ฮาร์ท เลน

ตอนนี้สำหรับ โปเช็ตติโน่ สิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือ การเคลียร์โต๊ะทำงาน และโบกมือลาอารมณ์ที่ผิดหวังไปก่อน เขาคิดว่าในช่วงฤดูร้อนนี้ ถ้าเขาจากไปจะไม่มีอะไรต้องขอโทษแฟน สเปอร์ส เพราะเขาได้นำสโมสร ไปสู่ดินแดนที่พวกเขาสามารถฝันเอาไว้ และเคยสร้างทีมที่เล่นฟุตบอลที่น่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่เคยมีมา

แต่นั่นไม่ใช่ตอนนี้ โปเช็ตติโน่ กล่าวว่า “เราต้องฟื้นระดับอารมณ์ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะควบคุมอารมณ์ของเราเอง การเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ และอีกไม่กี่เดือนต่อมาเราอยู่ในสถานการณ์ที่เราเป็นอยู่นั้น เราต้องต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงมัน นี่คือวิธีที่ควรทำที่สุด มันไม่ใช่ละคร มีคนอื่นๆที่แย่กว่าเรา ดังนั้นเราต้องเข้าใจเรื่องนี้”

ความมุ่งมั่นตามสัญญา 4 ปีของทั้งสองฝ่ายจะป้องกันไม่ให้เกิดการหยุดพักจากการทำงานและแน่นอนว่า โปเช็ตติโน่ ยังรู้สึกภักดีต่อสโมสร เมื่อ เรอัล มาดริด ติดต่อเขาในปีที่ผ่านมา และติดต่อเข้าหา เลวี โดยตรงแต่โค้ชอาร์เจนติน่า ยืนยันว่าเขาจะไม่ย้ายไปไหน

สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือ สิ่งต่างๆเริ่มแย่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาก โปเช็ตติโน่ ตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะต้องจากไป เมื่ออพบว่าเขากำลังเผชิญกับภารกิจในการจัดการกับข้อตกลงที่อาจกำหนดได้ว่า เขาสามารถหรือไม่สามารถไปต่อกับ สเปอร์ส ได้ในอนาคต

โปเช็ตติโน่ ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เขาสามารถทำได้ หรือต้องการที่จะทำ นั่นคือ การสร้างสถานการณ์ที่ไม่สามารถป้องกันได้ที่สโมสร ซึ่งแสดงให้คุณเห็นเกี่ยวกับอนาคตของคุณในการมองหาตัวเลือกที่เหมาะสมต่อไป

ถ้าหาก โปเช็ตติโน่ อำลาทีม มันจะหมายถึง สเปอร์ส จะต้องไปหาผู้จัดการทีมรุ่นใหม่ที่ทะเยอทะยาน คนที่มีพลัง และความกระตือรือร้นพร้อมและเต็มใจที่จะต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ มีใครบ้างไหมที่ทำภารกิจนี้ และ เลวี่ จะไปหาโค้ชแบบนี้ได้ที่ไหน

“ผมได้รับการบอกเล่าว่า ผู้เล่นไม่มีความสุข มันไม่เป็นความจริงทั้งหมด นักฟุตบอลได้รับการวิเคราะห์มากขึ้นกว่าเดิม และสัมผัสกับการฝึกซ้อมประเภทต่างๆ แต่ปัญหาหลักตามปกติในช่วงเวลาของความยากลำบากเหล่านี้คือ ทุกคนกำลังมองหาแพะรับบาป ในความเป็นจริงทุกคน และเจ้าหน้าที่ทุกระดับในสโมสรต้องมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน” เทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์ กล่าว

มีความหงุดหงิดตามปกติกับสิ่งที่เกิดขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ สโมสรเชื่อว่าการพลิกผันเชิงบวกในโชคชะตานั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และ โปเช็ตติโน่ จะเริ่มเพิ่มศักยภาพของทีมอีกครั้งในไม่ช้า มันคือการมองภาพรวมที่ใหญ่กว่า

เวลาเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าสโมสรมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในจังหวะที่ถูกต้องเพื่อหยุดความล้มเหลว ถ้า โปเช็ตติโน่ เจอส่วนผสมที่ลงตัวเพื่อทำให้ สเปอร์ส กลับมาเป็นทีมชั้นยอด และถ้าเขาสามารถฟื้นฟู และเติมพลังให้กับลูกทีมของเขาได้ มันจะเป็นการเขียนประวัติศาสตร์ต่อไปในอนาคต

โปเช็ตติโน่ จะเริ่มเพิ่มศักยภาพของทีม