สุดยอดนักเตะ อารอน แรมซี่ย์ [Aron Ramsey]

อารอน แรมซี่ย์

ชีพชาวเวลส์

อารอน เจมส์ แรมซี่ย์ (เกิด 26 ธันวาคม 1990) เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวเวลส์ เขาเล่นในตำแหน่งกองกลางให้กับสโมสรในพรีเมียร์ลีก อังกฤษอย่างอาร์เซน่อล และทีมชาติเวลส์ แรมซี่ย์เป็นกองกลางตำแหน่งบ็อกซ์-ทู-บ็อกซ์แต่เคยมีโอกาสลงเล่นในตำแหน่งปีกซ้ายและขวา เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลในทีมนักเรียนของคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ซึ่งเขาใช้เวลาแปดปีในทีมเยาวชนก่อนที่จะกลายเป็นผู้เล่นที่มีอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ โดยลงเล่นไปทั้งสิ้น 22 นัด รวมทั้งได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในปี 2008 ด้วย

แรมซี่ย์ย้ายมาสู่อาร์เซน่อลในปี 2008 ด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ ซึ่งเขาสามารถก้าวขึ้นมาและมีส่วนร่วมกับทีมตัวจริงได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเส้นทางอาชีพของเขาก็มาถึงจุดชะงักที่สำคัญ หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บขาหักในเกมที่พบกับสโตค ซิตี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2010 หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บ เขากลับมาฟิตสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่งและลงสนามได้ปกติอีกครั้งในฤดูกาล 2011-12 แรมซี่ย์กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของอาร์เซน่อลในฤดูกาล 2013-14 โดยยิงได้ 16 ประตูในทุกรายการที่ลงเล่น รวมทั้งชนะเลิศเอฟเอคัพ 2014 เหนือฮัลล์ ซิตี้อีกด้วย นอกจากนี้ยังพาอาร์เซน่อลป้องกันแชมป์รายการนี้ในปี 2015 และคว้าแชมป์รายการนี้อีกครั้งในปี 2017 โดยเขาเป็นผู้ยิงประตูชัยในเกมนั้น

ชีวิตช่วงต้น

คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ อารอน

ในวัยเด็ก แรมซี่ย์เริ่มต้นเข้าเรียนที่โรงเรียนไรม์นี่ย์ วัลเลย์ ในเขตคาร์ฟิลลี่ย์ เคาน์ตี้ โบโร่ ซึ่งเขาได้รับการแนะนำด้านฟุตบอลครั้งแรกเมื่ออายุ 9 ขวบ และเข้าร่วมการฝึกซ้อมกับองค์กรการฝึกทักษะและการเรียนรู้ของเวลส์ที่คาร์ฟิลลี่ย์ ก่อนที่จะเริ่มต้นเล่นฟุตบอล เขาเคยเป็นนักกีฬารักบี้มาก่อน โดยลงเล่นเป็นผู้เล่นตำแหน่งปีกในกับทีมคาร์ฟิลลี่ย์ หลังจากนั้นเขาถูกทีมแมวมองพาเข้าสู่ทีมรักบี้เซนต์เฮเลนส์หลังจากที่ได้ลงแข่งกับพวกเขา แต่กลับกลายเป็นทีมฟุตบอลเยาวชนของคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ที่ได้เซ็นสัญญากับเขาแทน แรมซี่ย์เคยได้แชมป์กรีฑาของสมาคมนักกีฬาโรงเรียนของเวลส์ในปี 2005 และคว้าอันดับ 4 ของสหราชอาณาจักร รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ในปี 2006 อีกด้วย แรมซี่ย์อาศัยอยู่กับครอบครัวของเขามีพ่อและแม่, เควินและมาร์ลีน และพี่ชายของเขา, จอช ก่อนย้ายมาอยู่ลอนดอน ซึ่งเขาได้เป็นเพื่อนบ้านกับอดีตเพื่อนร่วมทีมคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ นั่นคือคริส กันเทอร์ ซึ่งเคยลงเล่นให้กับท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ แรมซี่ย์สามารถพูดได้สองภาษา คือ เวลช์และอังกฤษ

ชีวิตในวงการฟุตบอล

คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้

คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้

หลังจากสร้างความประทับใจในทัวร์นาเมนต์ขององค์กรการฝึกทักษะและการเรียนรู้ของเวลส์ เขาได้เซ็นสัญญากับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ แม้ว่าจะมีนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดสนใจในตัวเขาเช่นเดียวกัน ด้วยวัยเพียง 8 ขวบเท่านั้นทำให้เขาเข้าสู่ระบบทีมเยาวชนของสโมสรทันที หลังจากนั้นไม่กี่ปี เขาได้ประเดิมสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ในเกมเหย้านัดสุดท้ายในลีกแชมเปี้ยนชิพ ปี 2006-07 โดยลงสนามแทนที่ พอล พาร์นี ในนาทีสุดท้าย ก่อนเอาชนะคู่แข่งอย่างฮัลล์ ซิตี้ไปได้ 1-0 ในวันที่ 28 เมษายน 2007 ทำให้แรมซี่ย์กลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นให้กับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ด้วยวัยเพียง 16 ปี 124 วัน เป็นการทำลายสถิติของจอห์น โตแช็คอีกด้วย ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2007 คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ได้ปฏิเสธข้อเสนอมูลค่า 1 ล้านปอนด์จากทีมในลอนดอนสำหรับค่าตัวของเขา สโมสรนั้นไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นใครแต่เป็นที่เชื่อกันว่าพวกเขายังตามดูฟอร์มของแรมซี่ย์อยู่ตลอดฤดูกาล 2007-08 จากนั้นคาร์ดิฟฟ์ก็ได้ปฏิเสธข้อเสนอราคาเดิมอีกครั้ง ถึงแม้ว่าข้อเสนอนี้ในตอนแรกจะเริ่มต้นอยู่ที่ 200,000 ปอนด์ก็ตามและจะเพิ่มขึ้นตามความสำเร็จในอนาคตของเขา แต่คราวนี้สโมสรถูกระบุมาว่าคือ เอฟเวอร์ตัน

แรมซี่ย์ลงสนามในเกมลีกนัดแรกในฤดูกาล 2007-08 ในวันที่ 6 ตุลาคม ซึ่งเขาเป็นตัวสำรองลงเล่นแทนจิมมี่ ฟรอยด์ ฮัสเซลเบงค์ในช่วงท้ายเกม โดยทีมของเขามีชัยชนะเหนือทีมเยือนอย่างเบิร์นลี่ย์ 2-1แรมซี่ย์เซ็นสัญญาอาชีพครั้งแรกในเดือนธันวาคมปีเดียวกันและลงสนามในฐานะนักเตะอาชีพครั้งแรกในเกมเอฟเอคัพกับเชสทาวน์ เมื่อวันที่ 5 มกราคม โดยลงเล่นแทนที่สตีเฟ่น แม็คเฟล ซึ่งเป็นการลงเล่นที่น่าประทับของเขา โดยเขาสามารถยิงประตูที่ 2 ของทีมในชัยชนะ 3-1 อีกด้วย จากการลงเล่นในนัดดังกล่าวส่งผลให้เขาได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของการแข่งขันรอบนั้น แต่สุดท้ายรางวัลตกเป็นของ ไมเคิล มิฟซุด ของโคเวนทรี ต่อมาในวันที่ 26 เมษายน เขาสามารถยิงประตูแรกของเขาในเกมลีกได้สำเร็จซึ่งเป็นเกมที่เสมอกับเบิร์นลี่ย์ 3-3 หลังจากนั้นเขายังคงเดินหน้าทำผลงานของตัวเองต่อไป โดยใน 3 สัปดาห์ต่อมาสามารถเอาชนะควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์สไปได้ 3-1 เขามีโอกาสลงสนามไปทั้งสิ้น 22 นัดตลอดทั้งฤดูกาลและลงเล่นถึง 5 จาก 6 นัดในรายการเอฟเอคัพรวมถึงนัดชิงชนะเลิศอีกด้วย และยังเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดอันดับสองที่ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศ หลังจากเคอติส เวสตันของมิลล์วอลทำไว้ในนัดชิงชนะเลิศในปี 2004

จากการลงเล่นที่น่าประทับใจของเขาในเกมเอฟเอคัพ รอบก่อนรองชนะเลิศที่มีชัยชนะเหนือมิดเดิลสโบรช์ 2-1 ส่งผลให้ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่างเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันให้ความสนใจในตัวเขาและติดต่อไปยังเดฟ โจนส์ ผู้จัดการทีมคาร์ดิฟฟ์ ผู้ซึ่งต่อมาย้ายไปทำงานให้กับอาร์เซน่อลและเอฟเวอร์ตัน ถึงความเป็นไปได้ในการซื้อขาย ในความเป็นจริงแล้วแรมซี่ย์เองก็เติบโตมาในฐานะแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเช่นกัน แต่ในท้ายที่สุดเขาตัดสินใจที่จะไม่ย้ายไปร่วมทีม ประธานสโมสรคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ปีเตอร์ ริดส์เดล กล่าวกับบีบีซีว่า เขาได้ตอบรับข้อเสนอของอาร์เซน่อลที่ยื่นเข้ามา 5 ล้านปอนด์ แม้ว่าข้อเสนอดังกล่าวไม่ได้รวมถึงเงื่อนไขการยืมตัวซึ่งอนุญาตให้แรมซี่ย์กลับมาอยู่กับคาร์ดิฟฟ์ในซีซันอื่นก็ตาม ขณะที่เทอร์รี่ เบอร์ตัน ผู้ช่วยผู้จัดการทีมคาร์ดิฟฟ์และอดีตผู้เล่นอาร์เซน่อล เป็นผู้มีส่วนทำให้แรมซี่ย์ย้ายมาอยู่กับอาร์เซน่อลโดยได้แนะนำเขาต่ออาร์เซน เวนเกอร์ กุนซือของอาร์เซน่อล และกล่าวอีกว่ารูปแบบการเล่นของอาร์เซน่อลเหมาะกับแรมซี่ย์

อาร์เซน่อล

อาราอน แรมซี่ย์

วันที่ 10 มิถุนายน 2008 หลังจากได้เข้าประชุมรับฟังข้อเสนอจากอาร์เซน่อล เอฟเวอร์ตันและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ได้มีการยืนยันออกมาว่าแรมซี่ย์ตัดสินใจร่วมทีมอาร์เซน่อล ซึ่งจ่ายค่าตัวให้ที่ 4.8 ล้านปอนด์ การย้ายทีมลุล่วงในวันที่ 13 มิถุนายน 2008 โดยเป็นการเซ็นสัญญาระยะยาว เหตุผลหลักที่ทำให้อาร์เซน่อลกลายเป็นทีมที่ได้ลายเซ็นของเขาไปนั้น คือ อาร์เซน เวนเกอร์ กุนซือของอาร์เซน่อล ได้บินพาแรมซี่ย์และครอบครัวไปยังสวิตเซอร์แลนด์เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับแผนการทำทีมและอนาคตของเขากับอาร์เซน่อล เวนเกอร์อธิบายว่า “แรมซี่ย์เป็นผู้เล่นที่มีพละกำลังน่ามหัศจรรย์ มีร่างกาย เทคนิคและทัศนคติที่ดี”

แรมซี่ย์ลงสนามนัดแรกให้กับอาร์เซน่อลในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือกรอบสามพบกับเอฟซี ทเวนเต้ ในวันที่ 13 สิงหาคม 2008 และลงเล่นในเกมลีกนัดแรกในอีกหนึ่งเดือนต่อมาพบกับแบล็คเบิร์น โรเวอร์สในวันที่ 13 กันยายน 2008 และสามารถทำแอสซิสต์ให้กับเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ได้อีกด้วย ต่อมาวันที่ 23 กันยายน 2008 เขาลงเล่น 90 นาทีเต็มในเกมลีกคัพรอบสามในชัยชนะเหนือเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 6-0 โดยเขาทำสองแอสซิสต์ให้กับนิคลาส เบนท์เนอร์และคาร์ลอส เวล่า หลังจากนั้นเขายิงประตูแรกให้กับทีมได้ในเกมที่ชนะเฟเนร์บาห์เช่ 5-2 ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เขากลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดเป็นอันดับห้าในประวัติศาสตร์ที่ทำประตูได้และเป็นเพียงแค่สองผู้เล่นที่เกิดในทศวรรษ 1990 ที่ทำประตูได้ในรายการนี้ แรมซี่ย์ยังถูกเสนอชื่อเป็นนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมในปี 2009 โดย Fifa.com จากนั้นในวันที่ 1 กรกฎาคม 2009 เขาได้รับสัญญายาวจากทีม

วันที่ 22 สิงหาคม 2009 แรมซี่ย์ยิงประตูแรกในเกมลีกได้สำเร็จหลังหลุดเดี่ยวไปดวลกับเดวิด เจมส์ ส่งผลให้อาร์เซน่อลเอาชนะพอร์ตสมัธไปได้ 4-1 ที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม หลังจากนั้นทำแอสซิสต์ให้อังเดร อาร์ชาวินในชัยชนะในบ้าน 3-1 เหนือเซลติก ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือก ต่อมาในวันที่ 28 ตุลาคม เขาทำแอสซิสต์ให้นิคลาส เบนท์เนอร์ ในเกมชนะลิเวอร์พูล 3-1 ในลีกคัพรอบสี่ และทำให้เขาได้ตำแหน่งแมนออฟเดอะแมตช์ไปครอง

อาเซนอล

แรมซี่ย์ลงสนามเต็ม 90 นาทีในเกมพรีเมียร์ลีกนัดแรกในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2009 ในนัดที่อาร์เซน่อลบุกถล่มวูล์ฟแฮมป์ตัน 4-1 ที่โมลินิวซ์ กราวด์ หลังจากนั้นสี่วัน เขาคว้ารางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของเวลส์ ต่อมาในวันที่ 5 ธันวาคม 2009 แรมซี่ย์ยิงประตูที่สองในเกมลีกในชัยชนะเหนือสโตค ซิตี้ 2-0 และยิงประตูที่สามรวมทั้งแอสซิสต์ในเกมชนะพอร์ตสมัธ 4-1 เมื่อวันที่ 30 ธันวาคมปีเดียวกัน จากนั้นวันที่ 3 มกราคม 2010 เขายิงประตูตีเสมอในนาทีที่ 78 ในเกมเอฟเอคัพรอบสามกับเวสต์แฮมที่อัพตัน ปาร์ค ก่อนที่อาร์เซน่อลจะแซงชนะ 2-1 จากประตูชัยของเอดูอาร์โดในนาทีที่ 83 และเขาได้ตำแหน่งแมนออฟเดอะแมตช์ในเกมนั้น อาร์เซน เวนเกอร์กล่าวถึงเขาว่า “เขามีจิตใจห้าวหาญดั่งรอย คีนและเป็นผู้เล่นที่ครบเครื่องที่มีความสามารถน่ามหัศจรรย์ในทุกพื้นที่ของสนาม”

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2010 เกมที่อาร์เซน่อลบุกไปเยือนสโตค ซิตี้ที่บริทาเนีย สเตเดี้ยม เขาถูกเข้าปะทะโดยไรอัน ชอว์ครอส กองหลังเจ้าถิ่นอย่างรุนแรง ทำให้ขาขวาท่อนล่างหักถึงสองจุด ในช่วงแรกเขาได้รับการตรวจรักษาอย่างละเอียดแต่ยังไม่สามารถกำหนดวันกลับลงสนามได้ แต่หลังจากนั้นในวันที่ 20 มีนาคม เขาสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง แรมซี่ย์ต่อสัญญาฉบับใหม่ของเขาในวันที่ 1 มิถุนายน 2010 และเขาสามารถกลับมาฝึกซ้อมได้อีกครั้งในเดือนตุลาคม 2010 จากนั้นในวันที่ 23 พฤศจิกายนปีเดียวกัน เขากลับมาลงสนามได้อีกครั้งให้กับทีมสำรองของอาร์เซน่อลพบกับทีมสำรองของวูล์ฟแฮมป์ตันที่สนามซ้อมลอนดอน โคลนี่ย์

การยืมตัวสู่น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์

แรมซี่ย์ถูกยืมตัวสู่น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2010 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2011 การย้ายทีมครั้งนี้เป็นการเพิ่มความฟิตให้เขาอีกครั้งหนึ่ง เขาลงสนามนัดแรกให้กับน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2010 โดยเป็นตัวสำรองลงเล่นนาทีที่ 61 ในเกมกับเลสเตอร์ ซิตี้ และลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมดาร์บี้แมตช์มิดแลนด์ตะวันออกกับดาร์บี้ เคาน์ตี้ โดยลงเล่นไป 60 นาทีและจบลงด้วยชัยชนะ 5-2 แต่เนื่องด้วยสภาพอากาศที่ย่ำแย่ทำให้เขามีโอกาสลงเล่นเพียงแค่ 5 นัดเท่านั้น ก่อนกลับมาอาร์เซน่อลอีกครั้งในเดือนมกราคม 2011 จากนั้นมีชื่อบนม้านั่งสำรองในเกมเอฟเอคัพที่อาร์เซน่อลพบกับลีดส์ ยูไนเต็ดแต่ไม่ได้ลงสนาม รวมทั้งมีชื่ออีกครั้งในเกมที่พอร์ตแมน โร้ดเมื่อวันที่ 12 มกราคมในเกมลีกคัพกับอิปสวิช ทาวน์ แต่ไม่ได้ลงสนามเช่นกัน

การยืมตัวสู่คาร์ดิฟฟ์

แรมซี่ย์กลับมาคาร์ดิฟฟ์อีกครั้งด้วยสัญญายืมตัวระยะสั้นหนึ่งเดือนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย โดยได้ร่วมงานกับอดีตโค้ชทีมเยาวชนของอาร์เซน่อลอย่าง เจย์ เอ็มมานูเอล-โทมัสซึ่งย้ายมาในสัญญายืมตัวเช่นเดียวกัน โดยเขาลงสนามนัดแรกในเกมกับเรดดิ้ง และลงเล่นอีกครั้งโดยทำศึกดาร์บี้แมตช์แห่งเวลส์ตอนใต้กับสวอนซี ซิตี้ เขาสามารถทำแอสซิสต์ให้กับเคร็ก เบลลามี่ได้ ส่งผลให้ทีมชนะไป 1-0 แรมซี่ย์ลงสนามเต็ม 90 นาทีอีกครั้งในเกมกับสคันธอร์ป ยูไนเต็ดและเบิร์นลี่ย์ จากนั้นลงเล่นและมีอาการบาดเจ็บต้นขาเล็กน้อยในเกมกับน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และกลับมาลงเล่นอีกครั้งในเกมชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 2-0

ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ คาร์ดิฟฟ์ยื่นข้อเสนอขอขยายเวลายืมตัวออกไปจนจบฤดูกาลแต่มีเงื่อนไขเรียกตัวกลับได้ทันที แต่อาร์เซน่อลปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว ทำให้เขาต้องกลับอาร์เซน่อล

“ความแตกต่างของความแข็งแกร่งและวุฒิภาวะของเขา – ทั้งในและนอกสนาม – น่าทึ่งมาก มันเป็นเหมือนกรณีของคนที่จากไปเมื่อยังเป็นเด็กและกลับมาอีกครั้งอย่างเป็นผู้ใหญ่ … เขามีจิตใจที่แข็งแรงมากและแน่นอนไม่มีอะไรเขารั้งไว้เลย” เดฟ โจนส์ กุนซือของคาร์ดิฟฟ์กล่าวถึงการกลับมาของแรมซี่ย์ด้วยสัญญายืมตัว

2010-11

แรมซี่ย์จบฤดูกาลโดยลงเล่นไปเพียง 7 นัด โดยกลับมาลงสนามให้อาร์เซน่อลเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 72 ในเกมที่แพ้ต่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-0 ในเกมเอฟเอคัพ หลังจากนั้นออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยนในวันที่ 19 มีนาคม ต่อด้วยวันที่ 1 พฤษภาคม เขายิงประตูแรกในฤดูกาลได้ในเกมพรีเมียร์ลีกที่เปิดบ้านเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 และคว้าแมนออฟเดอะแมตช์ไปครอง

2011-12

วันที่ 16 สิงหาคม 2011 แรมซี่ย์ลงเล่นในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีกนัดแรกของฤดูกาลโดยเปิดบ้านพบอูดิเนเซ่ เกมเข้าสู่นาทีที่ 4 เขาทำแอสซิสต์ให้ธีโอ วัลคอตต์ยิงประตูชัยไปได้ก่อนในเกมเลกแรก หลังจากนั้นสี่วันเขาลงเล่นอีก 78 นาทีในเกมลีกพบกับลิเวอร์พูลที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม โดยเขาทำเข้าประตูตัวเองจากการยืนขวางลูกเตะสกัดของอิกนาซี มิเกลเพื่อนร่วมทีม ส่งผลให้แพ้ไป 2-0

วันที่ 17 กันยายน 2011 เขาทำแอสซิสต์ให้มิเกล อาร์เตต้าได้ในเกมบุกไปแพ้แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 4-3 ในพรีเมียร์ลีก แม้ว่าเขาจะโดนวิจารณ์เรื่องการทำเกมที่เชื่องช้าและการตัดสินใจผ่านบอลที่ไม่ดี อย่างไรก็ตามเขาพาทีมกลับมาชนะอีกครั้งในเกมกับโบลตัน วันเดอเรอร์ส 3-0 เมื่อวันที่ 24 กันยายน โดยเขาทำแอซิสต์ให้กับโรบิน ฟาน เพอร์ซี่ในนาทีสุดท้ายก่อนหมดครึ่งแรก จากนั้นนาทีที่ 54 เขายังจ่ายบอลให้ธีโอ วัลคอตต์หลุดเดี่ยว เป็นเหตุให้เดวิด วีเทอร์ กองหลังโบลตันต้องทำฟาวล์และโดนใบแดงไป

วันที่ 19 ตุลาคม 2011 เขายิงประตูในนาทีสุดท้ายของเกม ให้ทีมเอาชนะมาร์กเซยได้สำเร็จ ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม จากนั้นในวันที่ 23 ตุลาคม 2011 เขาแอสซิสต์ให้แชร์วินโญ่ยิงประตูออกนำในเกมที่ชนะ 3-1 ตามมาด้วยยิงประตูตีเสมอในเกมบุกชนะซันเดอร์แลนด์ 2-1 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2012

2012-13

แรมซี่ย์ลงเล่นเป็นตัวสำรองในสี่เกมแรกของพรีเมียร์ลีก จากนั้นวันที่ 15 กันยายน เขาลงสนามเป็นตัวสำรองแทนที่ฟรานซิส โกเกอแล็งและยิงประตูที่ห้าในชัยชนะ 6-1 เหนือเซาร์แธมป์ตัน ถัดมาในวันที่ 23 กันยายน เขาลงสนามเป็นตัวจริงนัดแรกในเกมกับแชมป์เก่าอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยเล่นเป็นปีกขวา ต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม แรมซี่ย์ทำประตูได้ในเกมเอาชนะโอลิมเปียกอส 3-1 ในแชมเปี้ยนส์ ลีก

วันที่ 19 ธันวาคม 2012 ตัวเขาพร้อมด้วยอเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, คีแรน กิ๊บบ์, แจ็ค วิลเชียร์ และคาร์ล เจนกินสันได้รับการต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปกับทีม โดยเขายังได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมโดยแฟนบอลปืนใหญ่และเว็บไซต์ของทีมในเกมที่พบกับนอริชและเอฟเวอร์ตัน และยังถูกโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนโดยแฟนบอลปืนใหญ่อีกด้วย จากนั้นเขาทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนั้นได้ ในเกมเอาชนะวีแกน 4-1 ซึ่งส่งผลให้วีแกนตกชั้น

2013-14

เขาเริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยม โดยยิงประตูได้ในเกมเพลย์ออฟ แชมเปี้ยนส์ลีก นัดแรกกับเฟเนร์บาห์เช่และคว้าแมนออฟเดอะแมตช์ ในเกมนัดที่สองเขาทำได้สองประตูทำให้ทีมชนะด้วยสกอร์รวม 5-0 ผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จ แรมซี่ย์ยังคงทำผลงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีส่วนช่วยให้โอลิวิเยร์ ชิรูด์ยิงประตูได้ในเกมเอาชนะฟูแล่ม 3-1 และได้แมนออฟเดอะแมตช์อีกครั้ง ต่อมาการขาดหายไปของมิเกล อาร์เตต้าทำให้อาร์เซน เวนเกอร์จับเขามาเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวต่ำ ซึ่งเป็นบทบาทใหม่ที่ต่างออกไปจากสองปีก่อน โดยเขาพยายามทำผลงานกับตำแหน่งใหม่นี้ร่วมกับมิดฟิลด์คนอื่นๆ ในทีม และในเกมดาร์บี้แมตช์ลอนดอนเหนือกับท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์เมื่อวันที่ 1 กันยายน เขามีส่วนกับประตูของโอลิวิเยร์ ชิรูด์อีกด้วย จากนั้นเขาทำสองประตูในเกมกับซันเดอร์แลนด์เมื่อวันที่ 14 กันยายน โดยประตูแรกมาจากการวอลเลย์จังหวะเดียวและอีกประตูจากการประสานร่วมกับชิรูด์และเมซุต โอซิล

แรมซี่ย์ยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยทำประตูได้ในเกมเอาบุกชนะมาร์กเซย 2-1 ที่สต๊าด เวโลโดรม ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก และในสี่วันถัดมา ยิงประตูเบิกร่องในเกมพรีเมียร์ลีกที่ชนะสโตค ซิตี้ 3-1 จากนั้นวันที่ 28 กันยายน เขาคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมอีกครั้ง หลังจากยิงหนึ่งและแอสซิสต์อีกหนึ่งในเกมชนะสวอนซี ซิตี้ 2-1 สามวันถัดมาเขาจ่ายให้เมซุต โอซิลยิงประตูได้ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกกับนาโปลี ทำให้เขาคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายนไปครอง

วันที่ 19 ตุลาคม เขายิงประตูในเกมกับนอริช ซิตี้ ซึ่งเป็นประตูที่เก้าของเขาในฤดูกาลและจบลงด้วยชัยชนะ 4-1 จากฟอร์มที่ดีต่อเนื่องของเขา ทำให้เขายิงไกลสุดสวยได้อีกในเกมเอาชนะลิเวอร์พูล 2-0 เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ซึ่งส่งผลให้อาร์เซน่อลนำเป็นจ่าฝูง ทิ้งห่างอันดับสอง 5 คะแนนหลังผ่านไป 10 นัด สี่วันให้หลังเขายิงอีกครั้งในเกมบุกชนะโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 1-0 ในแชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ส่งผลให้เขาทำไปแล้ว 13 ประตูจาก 21 นัดในทุกรายการ ถัดมาวันที่ 30 พฤศจิกายน เขายิงสองประตูในเกมกับพบทีมเก่าอย่างคาร์ดิฟฟ์และปฏิเสธที่จะฉลองประตู ทำให้เขาได้รับการชื่นชมจากแฟนบอลคาร์ดิฟฟ์ เช่นเดียวแฟนบอลปืนใหญ่ที่ร้องเพลงเชียร์เขา จากนั้นวันที่ 26 ธันวาคม เขาได้รับบาดเจ็บต้นขาในเกมเยือนเวสต์แฮม ทำให้พลาดการลงสนามถึง 3 เดือน

จากฟอร์มการเล่นในช่วงต้นฤดูกาลทำให้เขาได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนต่อเนื่อง 4 ครั้งระหว่างเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน และวันที่ 18 มีนาคม 2014 เขาได้รับการต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไป

วันที่ 6 เมษายน เขากลับมาลงเล่นอีกครั้งโดยเป็นตัวสำรองในเกมแพ้เอฟเวอร์ตัน 3-0 จากนั้น 12 เมษายน เขาออกสตาร์ทเป็นตัวจริงครั้งแรกนับตั้งแต่วันบ็อกซิ่งเดย์ โดยพบกับวีแกน แอธเลติกในเอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศ โดยลงเล่นไป 113 นาที ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกให้คิม คัลสตรอมลงเล่นแทน ถัดมาวันที่ 20 เมษายน เขาทำหนึ่งประตูกับสองแอสซิสต์ในเกมบุกชนะฮัลล์ ซิตี้ 3-0

วันที่ 18 เมษายน แรมซี่ย์ถูกเสนอชื่อเป็นหนึ่งในหกผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ และวันที่ 11 พฤษภาคม เขาทำประตูได้ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดสุดท้ายของฤดูกาล โดยชนะนอริช ซิตี้ไป 2-0 ถัดมาวันที่ 17 พฤษภาคม เขายิงประตูชัยนาทีที่ 109 ในเกมเอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศกับฮัลล์ ซิตี้ พร้อมทั้งหยุดการรอคอยโทรฟี่ตลอด 9 ปีของทีม

วันที่ 4 มิถุนายน เขาคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรจากผลงานอันยอดเยี่ยมตลอดฤดูกาล โดยได้รับการโหวตทั้งสิ้น 58%

2014-15

แรมซี่ย์เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการยิงประตูที่สองในชัยชนะ 3-0 เหนือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในเกมคอมมูนิตี้ชิลด์ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม จากนั้น 6 วันถัดมา เขายิงประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บให้ทีมเปิดบ้านแซงชนะคริสตัล พาเลซ 2-1 ในเกมนัดเปิดสนามพรีเมียร์ลีก ต่อมาวันที่ 19 สิงหาคมเขาถูกไล่ออกหลังโดนใบเหลืองที่สองในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก รอบเพลย์ออฟนัดแรกกับเบซิคตัส ก่อนเสมอกันไปแบบไร้สกอร์ จากนั้นสี่วันเขาทำประตูได้ในเกมบุกเสมอเอฟเวอร์ตัน 2-2 ที่กูดิสัน พาร์ค

วันที่ 3 ธันวาคม เขาทำแอสซิสต์ให้อเล็กซิส ซานเชสยิงประตูชัยช่วงท้ายเกมกับเซาร์แธมป์ตัน จากนั้นทำประตูได้ในเกมเฉือนชนะสโตค ซิตี้ที่บริทาเนีย 3-2 เป็นการหยุดสถิติยิงไม่ได้ยาวนาน 3 เดือนของเขาเอง ถัดมาวันที่ 9 ธันวาคม เขาทำสองประตูในเกมพบกาลาตาซาราย ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายของแชมเปี้ยนส์ลีก ช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ 4-1 และคว้ารองแชมป์กลุ่มได้สำเร็จ จากนั้นวันที่ 4 พฤษภาคม เขายิงประตูที่สองให้ทีมในเกมบุกชนะฮัลล์ ซิตี้ 1-3 และวันที่ 30 พฤษภาคม เขาออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมเอฟเอคัพนัดชิงชนะเลิศ โดยลงเล่นเต็ม 90 นาทีในชัยชนะเหนือแอสตัน วิลล่า 4-0 ที่เวมบลีย์

2015-16

แรมซี่ย์ทำสกอร์แรกของฤดูกาลได้ในเกมบุกชนะวัตฟอร์ด 3-0 ที่วิคาเรจ โร้ด จากนั้น 8 มีนาคม เขาได้รับบาดเจ็บต้นขาในเกมชนะฮัลล์ ซิตี้ 4-0 ในเกมเอฟเอคัพ นัดแข่งใหม่ ซึ่งทำให้ต้องพัก 5 สัปดาห์

2016-17

หลังจากการย้ายออกไปของมิเกล อาร์เตต้า ทำให้แรมซี่ย์ย้ายมาสวมหมายเลข 8 แทน และวันที่ 7 มีนาคม 2017 เขาทำสกอร์แรกของฤดูกาลได้จากการยิงไกลนอกกรอบเขตโทษในเกมบุกไปชนะเพรสตัน 1-2 ในเอฟเอคัพรอบสาม จากนั้นยิงประตูที่สองของเขาได้ในเกมชนะทีมนอกลีกอย่างลินคอร์น 5-0 ในเกมเอฟเอคัพรอบแปดทีมสุดท้าย ต่อมาวันที่ 27 พฤษภาคม เขายิงประตูชัย 2-1 ในเกมนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพกับเชลซี

2017-18

แรมซี่ย์เริ่มต้นฤดูกาลในเกมพบกับเลสเตอร์ ซิตี้ โดยมีส่วนช่วยให้ทีมตีเสมอ 3-3 ในนาทีที่ 83 ก่อนจบลงด้วยชัยชนะ 4-3 ถัดมาวันที่ 22 ตุลาคม 2017 เขายิงประตูที่สี่ให้กับทีม ในเกมบุกถล่มเอฟเวอร์ตัน 2-5 ที่กูดิสัน พาร์ค จากนั้นหนึ่งสัปดาห์ต่อมา วันที่ 28 ตุลาคม เขายิงประตูชัยในเกมเอาชนะสวอนซี ซิตี้ 2-1 จากการจ่ายของเซด โคลาสซิแนค จากประตูนี้ส่งผลทำให้อาร์เซน เวนเกอร์ กุนซือของทีมคว้าชัยชนะนัดที่ 800 ได้ในเกมพรีเมียร์ลีกและเป็นประตูที่ 50 ของแรมซี่ย์กับอาร์เซน่อล จากนั้นวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2018 เขาทำแฮตทริกแรกในชีวิตได้สำเร็จในเกมเปิดบ้านถล่มเอฟเวอร์ตัน 5-0 จากนั้นเขายังยิงประตูตอกย้ำชัยชนะ 0-2 ที่ซานซิโร่ ในเกมยูโรป้าลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดแรกกับเอซี มิลาน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม โดยการวิ่งทำทางและรับบอลจากเมซุต โอซิลก่อนยิงเข้าประตูไป จากนั้นเขาทำประตูได้ในเกมยูโรป้าลีกรอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดแรกในชัยชนะเหนือซีเอสเคเอ มอสโคว 4-1 โดยรับบอลเปิดมาจากเฮคตอร์ เบเยรินก่อนยิงเข้าไป หลังจบฤดูกาลเขาได้รับการโหวตโดยแฟนบอลปืนใหญ่ให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของทีม ซึ่งเป็นครั้งที่สองที่ได้รางวัลนี้

ยูเวนตุส

Juventus

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2019 แรมซี่ย์เซ็นสัญญาล่วงหน้า 4 ปีย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุส โดยมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม 2019

เกมระดับทีมชาติ
ทีมชาติเวลส์ แรมซี่ย์

แรมซี่ย์ติดทีมชาติครั้งแรก โดยถูกเรียกตัวติดทีมชาติเวลส์ รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี เมื่อปี 2005 โดยเป็นหนึ่งในผู้เล่นพรสวรรค์สูงของเวลส์ จากนั้นเขาลงสนามนัดแรกให้กับทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปีเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2007 ในเกมเฉือนชนะสวีเดน 4-3 โดยลงเล่นในวัย 17 ปี ทำลายสถิติของอดีตเพื่อนร่วมทีมอย่างคริส กันเทอร์ ต่อมาไบรอัน ฟินน์ โค้ชทีมเยาวชนเรียกตัวแรมซี่ย์มาเล่นทีมรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ในศึกยูโร รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี รอบคัดเลือกกับอังกฤษในปี 2009 โดยพวกเขาพ่ายแพ้ต่ออังกฤษที่วิลล่า พาร์ค แม้ว่าแรมซี่ย์จะทำประตูได้ก็ตาม

แรมซี่ย์ลงประเดิมสนามให้กับทีมชาติชุดใหญ่เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2008 ด้วยวัย 17 ปี โดยลงเล่นไป 88 นาที ในเกมบุกเอาชนะเดนมาร์ก 1-0 จากนั้น 14 ตุลาคม 2009 เขาทำประตูแรกในนามทีมชาติได้สำเร็จในเกมเยือนลิกเตนสไตน์ ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2010 จากการยิงซ้ำลูกฟรีคิกของแกเร็ธ เบล หลังจากฟุตบอลโลกจบลง เขาและผู้เล่นอื่นอีก 11 คนถูกเรียกตัวไปเล่นทีมชุดอายุไม่เกิน 21 ปี สำหรับเล่นรอบคัดเลือกในวันที่ 30 ตุลาคม แต่สุดท้ายขอถอนตัวออกไป ถัดมา 6 พฤศจิกายน จอห์น โตแช็ค กุนซือทีมชาติเวลส์ เรียกตัวเขาลงเล่นเกมกระชับมิตรกับสกอตแลนด์ในวันที่ 14 พฤศจิกายน โดยเขามีส่วนร่วมกับทุกประตูโดยทำแอสซิสต์ให้กับเดวิด เอ็ดเวิร์ดส์และโจ เลดลี่ย์และยิงประตูปิดท้ายในชัยชนะ 3-0 นอกจากนี้แรมซี่ย์ยังคว้ารางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของเวลส์อีกด้วย

แกรี่ สปีด กุนซือของเวลส์ มอบหมายให้เขาเป็นกัปตันทีมชาติแบบถาวร โดยประเดิมนัดแรกในเกมกับอังกฤษ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2011 ซึ่งทำให้เขากลายเป็นกัปตันทีมชาติเวลส์ที่อายุน้อยที่สุด ด้วยวัย 20 ปี 90 วัน ทำลายสถิติของไมค์ อิงแลนด์ในปี 1964 อีกด้วย เขาสามารถทำประตูแรกในฐานะกัปตันทีมได้ในรายการเนชั่นคัพนัดสุดท้ายกับทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2011

แรมซี่ย์เป็นหนึ่งในผู้เล่นเวลส์ที่ถูกเรียกตัวเข้าร่วมทีมสหราชอาณาจักรในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค ปี 2012 เขาได้ลงเล่นทั้งสามนัดในรอบแบ่งกลุ่มโดยเป็นตัวจริง 2 เกม จากนั้นในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับเกาหลีใต้ที่มิลเลนเนียม สเตเดี้ยมของคาร์ดิฟฟ์ เขายิงจุดโทษตีเสมอ 1-1 ในเวลาปกติ และยิงอีกประตูในการดวลจุดโทษ แต่พ่ายแพ้ไป

ในเดือนตุลาคม 2012 แอชลี่ย์ วิลเลี่ยมส์ถูกตั้งโดยคริส โคลแมน กุนซือคนใหม่ ให้เป็นกัปตันทีมชาติคนใหม่แทนเขา แต่อย่างไรก็ตามโคลแมนกล่าวว่าแรมซี่ย์จะได้กลับมาเป็นกัปตันทีมอีกครั้งในอนาคต ถัดมาวันที่ 22 มีนาคม 2013 แรมซี่ย์ยิงประตูตีเสมอนาทีที่ 73 ในเกมกับสกอตแลนด์ ก่อนแซงชนะด้วยสกอร์ 2-1 ในการแข่งขันรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2014 แต่อย่างไรก็ตาม เขาถูกไล่ออกจากสนามหลังทำฟาวล์ใส่เจมส์ แม็คอาเธอร์ในช่วงทดเวลา

อาเซน่อล

วันที่ 31 พฤษภาคม 2016 เขาถูกเรียกตัวเป็นหนึ่งในนักเตะชุดสู้ศึกยูโร 2016 ซึ่งถัดมาวันที่ 11 มิถุนายน เขาแอสซิสต์ให้ฮัล ร็อบสัน-คานูยิงตีเสมอสโลวาเกีย 1-1 ในการลงเล่นนัดเปิดสนาม ซึ่งเป็นประตูที่เวลส์ทำได้ในรายการระดับเมเจอร์ครั้งแรกในรอบ 58 ปี จากนั้นวันที่ 20 มิถุนายน เขายิงประตูเบิกร่องและจ่ายให้แกเร็ธ เบลยิงประตูปิดท้ายในชัยชนะเหนือรัสเซีย 3-0 ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย ซึ่งทำให้เวลส์จบด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายพวกเขาพบกับไอร์แลนด์เหนือเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน เขามีส่วนทำให้แกเร็ธ แม็คออลีย์ กองหลังคู่แข่งสกัดบอลเข้าประตูตัวเอง ส่งผลให้เวลส์ผ่านเข้ารอบด้วยประตูโทน แม้ว่าเขาจะโดนใบเหลืองหลังเตะบอลทิ้งในช่วงทดเวลาก็ตาม ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเวลส์โคจรมาพบกับเบลเยี่ยมในวันที่ 1 กรกฎาคม แรมซี่ย์แอสซิสต์สองลูกให้เวลส์เอาชนะด้วยสกอร์ 3-1 พาทีมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ แต่เขากลับโดนใบเหลืองอีกครั้ง ทำให้โดนแบนไม่สามารถลงเล่นรอบถัดไปได้ สุดท้ายเวลส์ตกรอบรองชนะเลิศหลังพ่ายให้กับโปรตุเกสซึ่งคว้าแชมป์ไปครองในปีนั้น แรมซี่ย์จบทัวร์นาเมนต์ด้วยการทำแอสซิสต์มากที่สุด 4 ครั้งเท่ากับเอแด็น อาซาร์และมีชื่ออยู่ในทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ด้วย

รูปแบบการเล่น

สไตน์การเล่นบอล

แรมซี่ย์ผสมผสานเทคนิคการเล่นอันยอดเยี่ยมเข้ากับสไตล์การวิ่งที่ทรงพลังและเป็นที่รู้จักกันดีในด้านการวิ่งทำทางโดยปราศจากลูกบอลและความสามารถในการเล่นเกมรุกในฐานะกองกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิ่งทะลุทะลวงเข้ากรอบเขตโทษและการทำประตู นอกจากเทคนิคและความห้าวหาญแล้ว เขายังถูกพูดถึงในเรื่องของพละกำลังและการทำงานหนักในทุกพื้นของสนาม เขายังเป็นผู้เล่นที่ผ่านบอลได้ยอดเยี่ยมและยังมีสายตาที่ดี ซึ่งทำให้เขาสามารถเล่นและสร้างสรรค์โอกาสร่วมกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถทำประตูได้อีกด้วย แม้ว่าตำแหน่งถนัดของเขาคือมิดฟิลด์ตัวกลางหรือตัวรุก แต่เขาสามารถขยับไปเล่นเป็นตัวริมเส้นได้ นอกจากนี้ในบางโอกาสเขายังเล่นเป็นตัวต่ำหรือแม้กระทั่งบ็อกซ์-ทู-บ็อกซ์ได้อีก ส่วนปัญหาสำคัญของเขาต่อการลงเล่นก็คืออาการบาดเจ็บรุนแรงของเขานั่นเอง

ระหว่างฤดูกาล 2013-14 แรมซี่ย์พัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีอิทธิพลมากที่สุดของทีม อาร์เซน เวนเกอร์กุนซือของทีมกล่าวไว้ว่า “แรมซี่ย์คือมิดฟิลด์ที่สมบูรณ์แบบ” และ “ผมเคยเล่นเป็นมิดฟิลด์มาก่อนและผมรักในสิ่งที่เขามี เขาสามารถเล่นเกมรับ เกมรุกและทำสกอร์ มีอะไรที่จะต้องการจากเขาได้อีก” นอกจากนี้แรมซี่ย์คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรจากฟอร์มอันยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2013-14 มาครอง

ในระหว่างฤดูกาล 2013-14 แรมซี่ย์พัฒนาทักษะของเขาในการพาบอลไปกับตัว เวนเกอร์สังเกตว่า “แรมซี่ย์สามารถพาบอลและสลัดหนีคู่แข่งอย่างง่ายดาย” ขณะที่อดีตกองกลางของอาร์เซน่อลอย่าง เรย์ พาร์เลอร์ กล่าวว่า “แรมซี่ย์อาจกลายเป็นนักเตะที่มีอิทธิพลต่อทีมอย่างสตีเว่น เจอร์ราร์ดได้”

ในเดือนพฤศจิกายน 2013 แรมซี่ย์ถูดจัดให้อยู่ในระดับเดียวกับยาย่า ตูเร่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในฐานะกองกลางที่ดีที่สุดของฤดูกาล 2013-14 โดยเขาสัมผัสบอลมากที่สุด (1,115 ครั้ง) และเข้าปะทะสำเร็จมากที่สุด (57 ครั้ง) นอกจากนี้ในวันที่ 24 ธันวาคม 2013 แรมซี่ย์และตูเร่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นเพียงสองผู้เล่นในพรีเมียร์ลีกที่ผ่านบอลมากถึง 1,000 ครั้ง

ถึงแม้ว่าเขาจะพลาดการลงสนามถึง 3 เดือนในฤดูกาล 2013-14 แต่ก็ยังเป็นผู้เล่นที่เข้าปะทะสำเร็จมากที่สุดของทีมและเป็นรองดาวซัลโวของทีมที่ 16 ประตู นอกจากนี้ยังเป็นผู้เล่นที่ทำแอสซิสต์มากที่สุดเป็นอันดับสองของฤดูกาลที่ 8 ลูก

ในเดือนธันวาคม 2015 สตีเว่น เจอร์ราร์ด อดีตนักเตะลิเวอร์พูลกล่าวชมเขาว่าเป็น กองกลาวตัวรุกที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก

ชีวิตส่วนตัว

แรมซี่ย์แต่งงานกับเพื่อนสาวในวัยเด็กอย่าง คอลลีน โรลแลนด์ส ที่คาลดิคอต คาสเซิล ในมอนเมาท์เชียร์ ประเทศเวลส์ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2014 โดยมีลูกชายหนึ่งคน คือ ซอนนี่ ซึ่งเกิดเมื่อปี 2015 แรมซี่ย์ยังเป็นผู้สนับสนุนองค์การสัตว์ป่าโลกและเคยกล่าวความรู้สึกถึงการอนุรักษ์สัตว์ป่าด้วย ขณะที่ในเดือนมกราคม 2014 แรมซี่ย์ได้เซ็นสัญญาเป็นนายแบบกับ Elite และยังได้รับการสนับสนุนจาก อดิดาส อีกด้วย

ภรรยา

ลูก