ล้วงประวัติ ยูเวนตุส ราชันแห่งฟุตบอลลีกแดนมักกะโรนี

ล้วงประวัติ ยูเวนตุส ราชันแห่งฟุตบอลลีกแดนมักกะโรนี

สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส (Juventus Football Club) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนาม ยูเวนตุส หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า ยูเว่ คือทีมฟุตบอลอาชีพที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใน เมืองตูริน แคว้นปีเยมอนเต้ ประเทศอิตาลี ทีมเจ้าของฉายา “ม้าลาย” ในบ้านเรา หรือ “เบียงโคเนรี่” ในบ้านเขา ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1897 จากกลุ่มนักเรียนชาวตูริน พวกเขาเลือกสวมใส่ชุดแข่งสีดำ-ขาวลงเตะในนัดเหย้ามาตั้งแต่ปี 1903 และตระเวนใช้สนามแข่งภายในพื้นที่หลายแห่งจนกระทั่งล่าสุด ยูเวนตุส สเตเดี้ยม หรือ อัลลีอันซ์ สเตเดี้ยม คือรังเหย้าของทีมที่รองรับความจุ 41,507 ที่นั่ง ยูเวนตุส เป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกในประเทศได้มากที่สุด 34 ครั้ง, แชมป์โคปปา อิตาเลีย 13 ครั้ง และ ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า อีก 8 สมัย และยังเคยครองแชมป์ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ 2 ครั้ง, ยูโรเปี้ยน คัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ครั้ง, ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 ครั้ง, ยูฟ่า คัพ 3 ครั้ง, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 2 ครั้ง และ ยูฟ่า อินเตอร์โตโต้ คัพ 1 สมัย พวกเขาเริ่มต้นด้วยการเป็นสโมสรกรีฑา และกลายเป็นองค์กรทางด้านกีฬาที่ยังคงดำเนินกิจการได้ยาวนานที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากทีมฟุตบอลของ เจนัว และลงแข่งขันอยู่ในลีกสูงสุดของประเทศนับตั้งแต่ที่มีการสถาปนา เซเรีย อา ขึ้นมาโดยตลอด ยกเว้นเพียงฤดูกาล 2006-07 เท่านั้น ทีมม้าลาย ถูกบริหารโดย ตระกูลอักเนลลี่ ที่เป็นเจ้าของธุรกิจหลากหลายประเภทมาตั้งแต่ปี 1923 พวกเขายังถือเป็นสโมสรกีฬาระดับอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ โดยเริ่มต้นครองความยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ช่วงยุคปี 30 และมีส่วนร่วมในเกมการแข่งขันของ ยูฟ่า อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่กลางยุคปี 70 รวมถึงการเป็นสโมสรฟุตบอลที่ร่ำรวยที่สุดติดอันดับท็อป 10 มาตั้งแต่กลางยุค 90 ก่อนจะพาตัวเองเข้าสู่ตลาดหุ้นภายในประเทศตั้งแต่ปี 2001

ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1897 จากกลุ่มนักเรียนชาวตูริน พวกเขาเลือกสวมใส่ชุดแข่งสีดำ-ขาว

ภายใต้การคุมทีมของ โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ มาจนถึงปี 1986 ยูเว่ สามารถคว้าแชมป์มาทั้งหมด 13 รายการภายในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งประกอบไปด้วย แชมป์ เซเรีย อา 6 สมัยและถ้วยรางวัลนอกประเทศอีก 5 รายการ พวกเขายังกลายเป็นทีมแรกที่สามารถคว้ารางวัลจากทั้ง 3 รายการที่จัดขึ้นโดย ยูฟ่า อันได้แก่ ยูโรเปี้ยน คัพ, คัพ วินเนอร์ส คัพ และ ยูฟ่า คัพ หลังจากชนะเลิศในรายการ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 1994 และ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ 1995 จนกระทั่งมาคว้าแชมป์ ยูฟ่า อินเตอร์โตโต้ คัพ 1999 ภายใต้การคุมทีมของ มาร์เซโล่ ลิปปี้ ก็ทำให้ ยูเว่ กลายเป็นสโมสรหนึ่งเดียวในเวลานี้ที่สามารถคว้าแชมป์จากทุกรายการที่จัดโดยสมาคมฟุตบอลทั้งในประเทศและระดับนานาประเทศ ในเดือนธันวาคมปี 2000 ยูเวนตุส ถูก ฟีฟ่า จัดอันดับให้เป็นสโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดอันดับ 7 ของโลก ก่อนที่ 9 ปีต่อมาพวกเขาจะกลายเป็นสโมสรที่ดีที่สุดของ อิตาลี และเป็นอันดับ 2 ของ ยุโรป ภายในศตวรรษที่ 20 จากการรวบรวมข้อมูลของ สหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลระหว่างประเทศ (IFFHS)
ทีมม้าลาย ยังมักเป็นศูนย์รวมของบรรดานักเตะ ทีมชาติอิตาลี ที่มักจะมีกลุ่มผู้เล่นที่เข้าไปมีบทบาทสำคัญในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์สำคัญๆระหว่างประเทศ โดยเฉพาะใน ศึกฟุตบอลโลก ปี 1934, 1982 และ 2006

ไทม์ไลน์ประวัติสโมสร

1897 – สโมสรถูกก่อตั้งขึ้นในนาม สโมสรกีฬายูเวนตุส (Sport-Club Juventus) โดยกลุ่มนักเรียนของรร.ไฮสคูลแห่งหนึ่งใน เมืองตูริน

1900 – หลังเปลี่ยนชื่อมาเป็น Foot-Ball Club Juventus เมื่อปีที่ผ่านมา พวกเขาเริ่มเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกระดับประเทศเป็นครั้งแรกภายในปีนั้น

1904 – ด้วยการสนับสนุนทางด้านงบประมาณจาก มาร์โก้ อาจโมเน่-อาร์ซาน นักธุรกิจชาวอิตาเลียน ก็ช่วยฟื้นฟูสภาพคล่องให้กับสโมสรจนสามารถย้ายสนามเหย้าเดิมที่ใช้พื้นที่ของค่ายทหารเก่าไปอยู่ในรัง Velodromo Umberto I ในขณะที่ทีมก็หันมาสวมชุดแข่งสีชมพูและดำ

1905 – ยูเวนตุส คว้าแชมป์ลีกสูงสุดหรือที่เรียกกันในเวลานั้นว่า ปรีม่า คาเตกอเรีย ได้เป็นครั้งแรก ในระหว่างฤดูกาลนั้นพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนมาใช้ชุดแข่งลายสีขาวดำพาดตามยาวที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก น็อตต์ส เคาน์ตี้ ทีมฟุตบอลในอังกฤษ

1906 – เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญขึ้นกับสโมสร เมื่อมีทีมงานบางกลุ่มพิจารณาเรื่องการย้ายทีมออกจากเมือง ตูริน จนทำให้ อัลเฟร็ด ดิ๊ก ประธานสโมสรในเวลานั้นรู้สึกไม่พอใจและจากไปพร้อมกับกลุ่มผู้เล่นส่วนหนึ่งเพื่อไปร่วมก่อตั้ง สโมสรฟุตบอลโตริโน่ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ดาร์บี้ เดลลา โมเล่ ในเวลาต่อมา ซึ่งภายหลังจากการแยกตัว ยูเว่ ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการประคับประคองตัวเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาใน สงครามโลกครั้งที่ 1

1923 – เอโดอาร์โด้ อักเนลลี่ ผู้เป็นเจ้าของ เฟียต บริษัทยานยนต์สัญชาติอิตาเลียน ก้าวเข้ามาครอบครองสโมสรพร้อมกับเริ่มก่อสร้างสนามแข่งขันใหม่ให้กับทีม

1926 – เบียงโคเนรี่ กลับมาคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งภายใต้ชื่อใหม่ ปรีม่า ดีวีซีโอเน่ หลังจากฝ่าฟันเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศก่อนจะถล่มแหลก อัลบา โรม่า ไปด้วยสกอร์รวม 2 นัด 12-1

1931 – พอย่างเข้าสู่ยุคปี 30 พร้อมๆกับการก้าวเข้ามาคุมทีมของ คาร์โล คาร์คาโน่ ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความยิ่งใหญ่ของ ทีมม้าลาย ประเดิมด้วยการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดภายใต้ชื่อ เซเรีย อา ได้เป็นสมัยแรกในฤดูกาล 1930-31 หลังทำแต้มอยู่เหนือ โรม่า 4 คะแนน

1932 – คาร์คาโน่ นำลูกทีมป้องกันแชมป์ได้สำเร็จจากการทำคะแนนนำ โบโลญญ่า 4 แต้มหลังจบ 34 นัดในฤดูกาล 1931-32

1933 – ยูเว่ กลายเป็นทีมที่ 3 ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอิตาลีถัดจาก เจนัว และ โปร เวอร์เชลลี่ ที่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ 3 สมัยติดต่อกัน หลังเข้าป้ายเป็นที่ 1 ในฤดูกาล 1932-33

1934 – หลังจากเปลี่ยนมาใช้สนามเหย้า สตาดิโอ คอมมูนาเล่ ตั้งแต่ช่วงเปิดฤดูกาล ทีมก็ยังคงเดินหน้าป้องกันแชมป์ได้อย่างต่อเนื่อง หลังทำคะแนนนำหน้า อัมโบรเซียน่า หรือที่รู้จักกันภายหลังในนาม อินเตอร์ มิลาน 4 คะแนน พร้อมกับการจากไปของ คาร์คาโน่ ที่ย้ายไปอยู่กับ เจนัว ในขณะที่ผู้เล่นตัวหลักของทีมทั้ง ไรมุนโด ออร์ซี่, ลุยจิ แบร์โตลินี่, โจวานนี่ แฟร์ราร่า, หลุยส์ มอนติ และคนอื่นๆรวมกัน 9 รายก็กลายไปเป็นสมาชิก ขุนพลอัซซูร์รี่ ที่คว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 1934 ที่ อิตาลี เป็นเจ้าภาพ

1935 – ยูเวนตุส กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศที่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ 5 สมัยติดต่อกัน หลังทำแต้มเบียดเอาชนะ อัมโบรเซียน่า ทีมอันดับสองได้ 2 คะแนน ก่อนที่ทีมจะห่างหายจากความสำเร็จใน เซเรีย อา ไปอีกนานหลายปี

ยูเวนตุส กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศที่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้

1938 – หลังอกหักจากการลุ้นแชมป์ที่ทำแต้มเบียดลุ้นมากับ อัมโบรเซียน่า ก่อนจะเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 โดยตามหลังคู่แข่งสำคัญเพียงแค่ 2 คะแนน พวกเขาก็มาได้รางวัลปลอบใจจากการคว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย ได้เป็นสมัยแรกจากการทำศึก ตูริน ดาร์บี้ ที่เป็นฝ่ายเอาชนะ โตริโน่ ได้ 5-2 จากผลรวม 2 นัด

1942 – ทีมคว้าแชมป์ อิตาเลียน คัพ ได้เป็นสมัยที่สอง จากการถล่ม เอซี มิลาน 4-1 ในนัดชิงชนะเลิศรอบรีเพลย์ หลังจากเสมอกันมาในคราวแรก 1-1 เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้

1950 – แฟนๆ ทีมม้าลาย ต้องรอจนกระทั่งจบฤดูกาล 1949-50 จึงได้กลับมาฉลองการคว้าถ้วย สคูเด็ตโต้ กันอีกครั้ง โดยคราวนี้ทีมสามารถทำแต้มอยู่เหนือ เอซี มิลาน 5 คะแนน

1952 – หลังถูก มิลาน ทวงเอาแชมป์คืนไปได้ในซีซั่นก่อน พวกเขาก็กลับมาเอาชนะคู่แข่งสำคัญได้ในที่สุดหลังทำแต้มทิ้งห่างไปไกลถึง 7 คะแนน ซึ่งก็ต้องขอบคุณผลงานของ ยอห์น แฮนเซ่น หัวหอกชาวเดนมาร์ก ที่ช่วยกระหน่ำให้ทีมไปถึง 30 ประตูจนคว้ารางวัลดาวซัลโวในปีนั้นไปครอง

1958 – จนกระทั่งการก้าวเข้ามาของ จอห์น ชาร์ลส์ หัวหอกชาวเวลส์ และ โอมาร์ ซิวอรี่ ดาวยิงเลือดฟ้าขาว ที่ช่วยประสานงานในแนวรุกร่วมกับ จามปิเอโร่ โบนิแปร์ติ ก็ช่วยกันทวงความสำเร็จกลับคืนสู่ทีมอีกครั้งด้วยการครองแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 10 และทำให้พวกเขากลายเป็นทีมแรกที่ได้รับดาวเกียรติยศมาติดบนอกเสื้อจากการเป็นทีมที่คว้าแชมป์ครบ 10 สมัย

1959 – ยูเว่ คว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย ได้เป็นสมัยที่ 3 หลังสามารถสยบ อินเตอร์ มิลาน ในนัดชิงที่ลงเตะกันใน ซาน ซีโร่ ได้ 4-1

ยูเว่ คว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย ได้เป็นสมัยที่ 3

1960 – เบียงโคเนรี่ ประกาศศักดาด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ เริ่มด้วยการทำแต้มทิ้งห่าง ฟิออเรนติน่า 8 คะแนนจนเป็นฝ่ายได้ชูถ้วย สคูเด็ตโต้ พร้อมๆกับที่ โอมาร์ ซิวอรี่ จะคว้าตำแหน่งดาวซัลโวจากผลงาน 28 ประตู ก่อนจะมาย้ำแค้น ทีมม่วงมหากาฬ อีกครั้งในรอบชิงชนะเลิศ โคปปา อิตาเลีย จากการเฉือนเอาชนะไปด้วยสกอร์ 3-2 โดยได้ประตูชัยจากการทำเข้าประตูตัวเองของคู่แข่งในช่วงต่อเวลาพิเศษ

1961 – พวกเขาป้องกันแชมป์ เซเรีย อา ได้สำเร็จ หลังทำแต้มอยู่เหนือ มิลาน 4 คะแนน โดยที่ จามปิเอโร่ โบนิแปร์ติ หัวหอกกัปตันทีมตัดสินใจอำลาสนามไปหลังจากจบฤดูกาล 1960-61 ในขณะที่ โอมาร์ ซิวอรี่ ก็กลายเป็นนักเตะคนแรกของสโมสรที่คว้ารางวัล บัลลง ดอร์ ได้ภายในปีนั้น

1965 – ทีมคว้าแชมป์ อิตาเลียน คัพ ได้เป็นสมัยที่ 5 โดยในคราวนี้พวกเขาต้องดวลกับ อินเตอร์ มิลาน ทีมที่คว้าแชมป์ลีก ก่อนจะเฉือนเอาชนะไปได้ 1-0 ในสังเวียนนัดชิงที่ สตาดิโอ โอลิมปิโก

1967 – การขับเคี่ยวแย่งแชมป์ในฤดูกาล 1966-67 เป็นไปอย่างคู่คี่สูสี และต้องลุ้นกันจนถึงนัดสุดท้าย ในขณะที่ อินเตอร์ มิลาน ทีมนำต้องการเพียงแค่แต้มเดียว หรือหวังแค่ให้ ยูเวนตุส เอาชนะ ลาซิโอ ไม่ได้พวกเขาก็จะกลายเป็นแชมป์ในทันที แต่สถานการณ์กลับพลิกผันเมื่อ ทีมงูใหญ่ ดันบุกไปพ่ายให้กับ มานโตว่า 1-0 โดยที่ทีมเจ้าบ้านได้ประตูชัยจาก เบเนียมีโน่ ดิ จาโคโม่ อดีตผู้เล่นของ อินเตอร์ ในขณะที่ ยูเว่ ก็จัดการทุบ ลาซิโอ ในบ้านตนเองได้ 2-1 จนปาดหน้าคว้าแชมป์ไปครองแบบสุดดราม่า

1972 – หลังการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งอย่างกะทันหันของ อาร์มันโด ปิคคี่ ในช่วงปลายซีซั่นก่อน ก็กลายเป็นโอกาสในการก้าวขึ้นมาคุมทีมจากตำแหน่งโค้ชเยาวชนของ เชสท์เมียร์ วิซปาเล็ก อดีตปีกขวาชาวเช็กที่เคยเป็นนักเตะของทีมในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทำให้ ทีมม้าลาย กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งจากการเก็บแต้มได้มากกว่า เอซี มิลาน อยู่ 1 คะแนนและเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ เซเรีย อา เป็นสมัยที่ 14

1973 – วิซปาเล็ก พาทีมป้องกันแชมป์ได้สำเร็จในลักษณะเดียวกับเมื่อซีซั่นที่แล้วจากการเฉือนหวิว มิลาน ไปเพียงแค่แต้มเดียว ในขณะที่พวกเขายังสามารถผ่านเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยน คัพ ได้เป็นหนแรก แต่ก็ต้องพ่ายให้กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในสนาม เร้ด สตาร์ สเตเดี้ยม ที่ กรุงเบลเกรด ไปแบบฉิวเฉียด 1-0 เช่นเดียวกับเข้าชิงในรายการ โคปปา อิตาเลีย ที่พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับ ปีศาจแดงดำ จากการดวลจุดโทษตัดสินหลังจบ 120 นาที นอกจากนี้ทีมยังได้เป็นตัวแทนไปลงเตะชิงถ้วย อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ แทน อาแจ็กซ์ ที่ปฏิเสธเข้าร่วมการแข่งขัน แต่สุดท้ายก็พ่ายให้กับ อินดิเพนเดนเต้ 1-0

1975 – คาร์โล ปาร์โรล่า อดีตกองหลังที่เคยคว้าแชมป์ เซเรีย อา ร่วมกับทีม 2 สมัย ก้าวเข้ามานั่งเก้าอี้กุนซือแทน วิซปาเล็ก ที่วางมือไปในช่วงซัมเมอร์ และเขาก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ในซีซั่นเปิดตัว หลังถล่ม วิเซนซ่า ได้ 5-0 ในนัดปิดฤดูกาลจนทำให้มีแต้มอยู่เหนือ นาโปลี 2 คะแนน

1977 – หลังการจากไปของ ปาร์โรล่า พวกเขาก็ได้ตัว โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ ผู้ที่บันดาลความสำเร็จให้กับทีมมากที่สุด โดยเริ่มจากการผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ และเอาชนะ แอธเลติก บิลเบา ในบ้านได้ก่อนจากประตูโทนในเกมนี้ของ มาร์โก ทาร์เดลลี่ และแม้ทีมจะออกไปพ่ายที่ ซาน มาเมส 2-1 แต่จากประตูที่ โรแบร์โต้ เบ็ตเตก้า ยิงได้ก็ช่วยให้ ยูเว่ ได้ครอบครองถ้วยยุโรปใบแรกด้วยกฎอเวย์โกล หลังจากนั้นอีก 4 วันพวกเขาก็บุกไปเอาชนะ ซามพ์โดเรีย 2-0 ในนัดปิดฤดูกาลจนเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ เซเรีย อา ได้สำเร็จจากการเก็บคะแนนได้มากกว่า โตริโน่ เพียงแค่แต้มเดียว

1978 – ทีมม้าลาย ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จในซีซั่นต่อมา จากการอยู่เหนือ วิเซนซ่า ทีมอันดับสอง 5 คะแนน ก่อนที่ผู้เล่นของทีมรวม 9 ราย นำโดย ดิโน่ ซอฟฟ์, โรเมโอ เบเน็ตติ และ ฟรังโก้ เคาซิโอ จะติดทีมชาติไปลงแข่งขันใน ฟุตบอลโลก 1978 ที่ อาร์เจนติน่า

1979 – แม้พวกเขาจะเสียแชมป์ให้กับ เอซี มิลาน และตกไปอยู่ในอันดับที่ 3 รองจาก เปรูจา ที่สร้างสถิติไร้พ่ายตลอดทั้งฤดูกาลแต่หนักเสมอมากไปหน่อย แต่ทีมก็ยังมีถ้วยรางวัลติดไม้ติดมือจากการเข้าชิง โคปปา อิตาเลีย กับ ปาแลร์โม่ ก่อนจะเอาชนะมาได้ 2-1 จากประตูชัยของ ฟรังโก้ เคาซิโอ เพียง 3 นาทีก่อนจะหมดช่วงต่อเวลาพิเศษ

1981 – หลังเฉือนเอาชนะ ฟิออเรนติน่า 1-0 ได้ในนัดส่งท้ายฤดูกาล ทีมของ ตราปัตโตนี่ ก็กลับมาคว้าแชมป์ สคูเด็ตโต้ ได้สำเร็จ จากการมีแต้มอยู่เหนือ โรม่า 2 คะแนน

1982 – ยูเวนตุส สามารถคว้าดาวดวงที่ 2 มาติดบนอกเสื้อได้ในที่สุดหลังเก็บแต้มเฉือน ฟิออเรนติน่า ไปเพียงแค่คะแนนเดียว ซึ่งต้องขอบคุณความเยือกเย็นของ เลียม เบรดี้ ที่รับหน้าที่สังหารจุดโทษจนกลายเป็นประตูชัย 1-0 ในนัดสุดท้ายที่พบกับ คาตันซาโร่ ในขณะที่ เปาโล รอซซี่ หัวหอกตัวเก่งที่ย้ายเข้ามาตั้งแต่ต้นฤดูกาลแต่พึ่งได้รับโอกาสลงสนามในช่วงท้ายซีซั่นหลังติดโทษแบนยาวจากการพัวพันในคดีล้มบอล ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของขุนพลนักเตะทีมชาติอิตาลี ร่วมกับ ดิโน่ ซอฟฟ์, อันโตนิโอ คาบรินี่, เคลาดิโอ เจนติเล่, กตาโน่ ชีเรีย และ มาร์โก ทาร์เดลลี่ ที่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงทั้งหมดในเกมที่สยบ เยอรมันตะวันตก 3-1 ในรอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1982 ในขณะที่ รอสซี่ ก็ก้าวขึ้นไปดาวซัลโวสูงสุดรวมถึงนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ และยังสามารถคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ ได้ภายในปีนั้นอีกด้วย

1983 – เบียงโคเนรี่ เสริมทัพด้วยการดึงตัว 2 สตาร์ต่างชาติเข้ามาเพิ่มทั้ง มิเชล พลาตินี่ จาก แซงต์ เอเตียน และ ซบิกนิว โบเนียค จาก วิดเซฟ ลอดซ์ ที่แม้ทีมจะพลาดท่าเสียแชมป์ลีกให้กับ โรม่า แต่พวกเขาก็ยังสามารถคว้าแชมป์ อิตาเลียน คัพ สมัยที่ 7 ได้จากการดวลกับ เฮลลาส เวโรน่า ในรอบชิงชนะเลิศที่เป็นฝ่ายบุกไปพ่ายแพ้ก่อน 2-0 จนกระทั่งพลิกกลับเอาชนะได้ 3-0 ในถิ่น สตาดิโอ คอมมูนาเล่ จากประตูชัยของ พลาตินี่ ในนาทีที่ 119 นอกจากนี้ทีมยังผ่านเข้าไปชิงในถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพ กับ ฮัมบูร์ก แต่ก็ไปโดนทีเด็ดของ เฟลิกซ์ มากัธ ที่ยิงประตูชัย 1-0 ได้ตั้งแต่นาทีที่ 9 ของเกมที่ฟาดแข้งกันในสนาม โอลิมปิก สเตเดี้ยม กลางกรุงเอเธนส์

1984 – ทีมของ ตราปัตโตนี่ ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ได้ด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ โดยเริ่มจากการเก็บ 1 คะแนนในบ้านได้จาก อเวลลิโน่ ในนัดรองสุดท้ายจนการันตีการแย่งแชมป์ เซเรีย อา มาจาก โรม่า ก่อนที่จะเดินลงสนาม เซนต์ จาค็อบ สเตเดี้ยม ในกรุงบาเซิ่ล เพื่อลงเตะกับ ปอร์โต้ ในนัดชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ ที่ทีมสามารถเอาชนะไปได้ 2-1 และปิดท้ายด้วยการเอาชนะ ลิเวอร์พูล 2-0 ในรายการ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ

1985 – แม้ ทีมม้าลาย จะจบฤดูกาล 1984-85 ด้วยการตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 6 ท่ามกลางซีซั่นที่ เวโรน่า คว้าแชมป์ลีกครั้งแรกและครั้งเดียวไปครองได้แบบสุดเซอร์ไพรส์ แต่พวกเขาก็สามารถฟันฝ่าเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยน คัพ ที่พบกับ
ลิเวอร์พูล ในสนาม เฮย์เซล สเตเดี้ยม กรุงบรัสเซลล์ และแม้เกมจะจบลงด้วยการครองบัลลังก์จ้าวยุโรปสมัยแรกของพวกเขา จากลูกจุดโทษที่เป็นประตูโทนของ มิเชล พลาตินี่ แต่ไฮไลต์สำคัญในเกมนี้กลับอยู่ที่เหตุการณ์ความวุ่นวายบนอัฒจันทร์ที่ส่งผลร้ายแรงจนถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต 39 ราย ซึ่งต้นเหตุเริ่มมาจากกลุ่มกองเชียร์ฮาร์ดคอร์ของ ลิเวอร์พูล ที่ทั้งเมาและหัวร้อนจากการถูกยั่วยุและปาสิ่งของเข้าใส่จนพยายามวิ่งไล่ต้อนแฟนบอลทีมคู่แข่งที่พยายามหนีเอาตัวรอดด้วยการปีนรั้วกั้นจนกระทั่งรั้วและผนังพังลงมาทับร่างของพวกเขาเสียชีวิต หลังจากนั้นทีมก็มาคว้าแชมป์ อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ ได้จากการดวลจุดโทษชนะ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ หลังจากเสมอกันในเวลา 2-2 และจากการคว้าแชมป์ในรายการนี้ก็ทำให้ ยูเว่ กลายเป็นทีมแรกที่ได้แชมป์ครบทุกรายการเท่าที่สโมสรในยุโรปมีสิทธิ์จะเข้าร่วมได้

1986 – พวกเขาตัดสินใจปล่อยตัวผู้เล่นแนวรุกทั้ง มาร์โก ทาร์เดลลี่, เปาโล รอสซี่ และ ซบิกนิว โบเนียค และทดแทนด้วยการดึงตัว ไมเคิ่ล เลาดรู๊ป, ลีโอเนลโล่ มานเฟรโดเนีย และ อัลโด เซเรน่า เข้ามา อย่างไรก็ตามทีมก็ยังสามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ โดยมี โรม่า ที่ตามหลังอยู่ 4 คะแนน พร้อมทั้งเป็นถ้วยรางวัลทิ้งท้ายการทำงานตลอด 10 ปีของ ตราปัตโตนี่ ที่ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน หลังจบฤดูกาล 1985-86

1990 – หลังการจากไปของ ตราปัตโตนี่ พร้อมกับความโรยราของบรรดาผู้เล่นตัวหลักก็ทำให้พวกเขาตกเป็นลูกไล่ของทั้ง นาโปลี, เอซี มิลาน และ อินเตอร์ มิลาน จนกระทั่งฤดูกาล 1989-90 ที่แม้ทีมจะยังห่างไกลจากการสัมผัส สคูเด็ตโต้ หลังมีแต้มตามหลัง นาโปลี ทีมแชมป์ที่เปล่งประกายด้วยความยอดเยี่ยมของ ดีเอโก้ มาราโดน่า อยู่ถึง 7 คะแนน แต่ในการเข้ามาคุมทีมเป็นซีซั่นที่สองของ ดิโน่ ซอฟฟ์ ก็สามารถนำพาความสำเร็จกลับคืนมาด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ โดยเริ่มจากการบุกไปทำประตูในบ้าน มิลาน ได้ 1-0 หลังเสมอกันมาในนัดแรกแบบไร้สกอร์จนเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย ก่อนจะมาเปิดศึกกับ ฟิออเรนติน่า ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ ที่สามารถสยบคู่แข่งชาติเดียวกันไปได้ 3-1 จากผลรวม 2 นัด ซึ่งหลังจากจบฤดูกาล 1989-90 ทีมก็ย้ายเข้าสู่รังเหย้าใหม่ สตาดิโอ เดลเล่ อัลปิ

1991 – แม้ก่อนออกสตาร์ทซีซั่นใหม่ทีมจะพยายามเสริมแนวรุกด้วยการเซ็นสัญญากับ โรแบร์โต้ บาจโจ้ ที่กลายเป็นสถิติโลกในเวลานั้น แต่ก็ยังไม่ช่วยให้ผลงานในลีกของพวกเขาดีขึ้น จนกระทั่งหลังจากเก็บชัยชนะได้เพียงแค่ครั้งเดียวจาก 7 นัดสุดท้ายก็ทำให้ทีมจบฤดูกาลนั้นด้วยอันดับที่ 7

1992 – โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ หวนกลับมาคุมทีมเป็นรอบที่สอง และเขาก็ทำให้ทีมกลับมาลุ้นแชมป์ได้ถึง 2 รายการแต่สุดท้ายก็พลาดไปทั้งคู่ เมื่อทำได้เพียงเป็นอันดับที่ 2 รองจาก เอซี มิลาน ที่มี มาร์โก แวน บาสเท่น ผู้ครองตำแหน่งดาวซัลโวที่ 25 ประตูและทิ้งห่าง บาจโจ้ ที่ตามมาถึง 7 ประตู ในขณะที่ทีมยังได้เข้าชิงในรายการ อิตาเลียน คัพ กับ ปาร์ม่า แต่ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์รวม 2-1

โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ หวนกลับมาคุมทีมเป็นรอบที่สอง

1993 – อย่างไรก็ตาม ตราปัตโตนี่ ก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้กับแฟนๆได้ในที่สุด หลังจากผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ และถล่ม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ได้ 3-1 และ 3-0 จากในนัดเยือนและเหย้าตามลำดับ และก็เป็นโทรฟี่เดียวของ “อิล แทร็ป” ในการกลับมาคุมทีมอีกครั้งก่อนที่เขาจะอำลาทีมไปหลังจากจบฤดูกาลหน้า

1995 – แค่ภายในฤดูกาลเปิดตัวของ มาร์เซโล่ ลิปปี้ เขาก็สามารถนำพาถ้วยรางวัลมาสู่ ยุเวนตุส ได้ จากการทำแต้มทิ้งห่าง ลาซิโอ ไปไกลถึง 10 คะแนน จนคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 23 ได้สำเร็จ ซึ่งก็มีการพูดถึงแรงบันดาลใจของ เบียงโคเนรี่ ในการคว้าแชมป์ซีซั่นนี้ว่ามีที่มาจากการเสียชีวิตของ อันเดรีย ฟอร์ตูนาโต้ แบ็คซ้ายดาวรุ่งดีกรีทีมชาติอิตาลี ที่จากไปในระหว่างฤดูกาลด้วยอาการของโรคมะเร็ง จนกลายเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “ฟอร์ตูนาโต้ สคูเด็ตโต้” นอกจากนี้พวกเขายังสามารถคว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย ได้อีกหลังเอาชนะ ปาร์ม่า ในรอบชิงด้วยสกอร์รวม 3-0 ก่อนจะมาครองแชมป์ ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียนา ได้เป็นสมัยแรกจากการย้ำแค้น ปาร์ม่า 1-0

1996 – แม้ ทีมม้าลาย จะเข้าป้ายเป็นที่สองในลีกรองจาก เอซี มิลาน แต่ ลิปปี้ ก็ยังพาลูกทีมที่นำโดย อันเจโล่ เปรุสซี่, ชิโร่ แฟร์ราร่า, อันโตนิโอ คอนเต้, จานลูก้า วิอัลลี่, ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี่ และ อเลสซานโดร เดล ปิโอโร่ ที่เติบโตขึ้นมากลบรัศมีของ โรแบร์โต้ บาจโจ้ ก้าวลงสู่สนาม สตาดิโอ โอลิมปิโก ที่ กรุงโรม เพื่อเข้าชิงถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพ กับ อาแจ็กซ์ ที่มาพร้อมกับสตาร์ดังอย่าง เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์, แดนนี่ บลินด์, แฟร้งค์ และ โรนัลด์ เดอ บัวร์ รวมถึง ยารี่ ลิตมาเน่น ก่อนจะเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ด้วยการดวลจุดโทษหลังเสมอกันในเวลา 1-1 โดยหลังจากการครองแชมป์ยุโรปสมัยที่ 2 ทีมก็ได้มาลงเตะกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในรายการ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ที่ต้องแข่งขันกันแบบเหย้าเยือนก่อนจะเอาชนะไปแบบห่างชั้นด้วยผลรวม 9-2 และปิดท้ายด้วยการเดินทางไปฟาดแข้งกับ ริเวอร์ เพลท ในเกม อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ ที่ ญี่ปุ่น และเป็นฝ่ายเฉือนเอาชนะไปได้ 1-0

1997 – ในช่วงซัมเมอร์มีการเปลี่ยนถ่ายผู้เล่นเป็นจำนวนมาก เริ่มจากการโละ ปิเอโตร เวียร์โควอด, มัสซิโม่ คาร์เรร่า และ เปาโล ซูซ่า ออกไป และทดแทนด้วยการดึงตัว เปาโล มอนเตโร่, มาร์ค ยูเลียโน่ และ ซีเนอดีน ซีดาน เข้ามา รวมถึงการปล่อย 2 ดาวยิงอย่าง จานลูก้า วิอัลลี่ และ ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี่ ไปให้กับ เชลซี และ มิดเดิ้ลสโบรช์ ตามลำดับ ก่อนจะหันไปเซ็นสัญญากับ อเล็น บอคซิช และ คริสเตียน วิเอรี่ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ช่วยให้ทีมสามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จโดยเก็บแต้มได้มากกว่า ปาร์ม่า เพียงแค่ 2 คะแนน นอกจากนี้ทีมยังผ่านเข้าไปป้องกันแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ด้วยการพบกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในนัดชิงที่ โอลิมเปียสตาดิโอน กรุงมิวนิค ก่อนจะเจอทีเด็ดของ คาร์ล-ไฮนซ์ รีดเล่ หัวหอกจอมเก๋าของ ทีมเสือเหลือง ที่เหมาคนเดียว 2 ลูกจนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป 3-1 แต่ทีมก็ยังกลับมาเอาชนะ วิเซนซ่า 3-0 ได้ในเกม ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า ในช่วงก่อนออกสตาร์ทฤดูกาลถัดไป

1998 – ลิปปี้ สามารถพา ยูเว่ คว้าแชมป์ เซเรีย อา ได้เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งก็ต้องขอบคุณขุมกำลังในแนวรุกอย่าง เดล ปิเอโร่ และ ฟิลิปโป้ อินซากี้ หัวหอกป้ายแดง ที่ได้รับการสนับสนุนในแดนกลางจาก ซีดาน และ เอ็ดการ์ ดาวิดส์ ที่พึ่งย้ายเข้ามาในช่วงซัมเมอร์ ก่อนที่ทีมจะได้เข้าชิงในถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพ เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน แต่ก็ต้องผิดหวังซ้ำซากเมื่อไปโดนทีเด็ดของ เปแดร็ก มิยาโตวิช ที่กลายเป็นประตูชัย 1-0 ให้กับ เรอัล มาดริด ในการลงเตะที่ อัมสเตอร์ดัม อารีน่า ประเทศฮอลแลนด์
1999 – ทีมจบฤดูกาล 1998-99 ด้วยการได้อันดับที่ 7 อย่างน่าผิดหวัง พร้อมกับการจากไปของ มาร์เซโล่ ลิปปี้ ที่ย้ายไปอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน แต่ระหว่างช่วงซัมเมอร์ปีนั้นทีมได้เข้าร่วมแข่งขันในรายการ ยูฟ่า อินเตอร์โตโต้ คัพ และเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ได้จากการเอาชนะ แรนส์ ด้วยสกอร์รวม 4-2 และก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า ยูเวนตุส คือทีมแรกและทีมเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าแชมป์ในทุกรายการที่พวกเขามีสิทธิ์ลงแข่งขัน

ลิปปี้ สามารถพา ยูเว่ คว้าแชมป์ เซเรีย อา ได้เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

2001 – แม้ คาร์โล อันเชล็อตติ จะพาทีมคว้าอันดับที่ 2 ได้ทั้ง 2 ฤดูกาลที่เข้ามาทำหน้าที่ แต่จากผลงานอันน่าผิดหวังในเวทียุโรปอีกทั้งยังไม่ค่อยได้รับความนิยมในหมู่แฟนๆ ก็เลยทำให้เขาถูกปลดออกไปหลังจากจบฤดูกาล 2000-01 พร้อมกับการคืนตำแหน่งของ มาร์เซลโล่ ลิปปี้

2002 – แม้ทีมจะยอมปล่อยตัว ซีเนอดีน ซีดาน ไปให้กับ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลก แต่พวกเขาก็ชดเชยด้วยการเซ็นสัญญากับ 4 สตาร์ดังอย่าง จานลุยจิ บุฟฟ่อน และ ลิลิยอง ตูราม จาก ปาร์ม่า รวมถึง พาเวล เนดเวด และ มาร์เซโล่ ซาลาส จาก ลาซิโอ โดยในซีซั่นนี้บทสรุปของการลุ้นแชมป์เป็นไปแบบสุดดราม่า เมื่อ อินเตอร์ มิลาน ทีมจ่าฝูง เกิดตกม้าตายในนัดสุดท้ายหลังจากออกไปพ่ายยับให้กับ ลาซิโอ 4-2 ที่ กรุงโรม ในขณะที่ ยูเว่ กลับบุกไปเอาชนะ อูดิเนเซ่ 2-0 จนเป็นฝ่ายปาดหน้าคว้าแชมป์ไปแบบเนียนๆ นอกจากนี้ ลิปปี้ ยังพาทีมเข้าชิงในรายการ อิตาเลียน คัพ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับ ปาร์ม่า จากกฎอเวย์โกลทั้งที่สกอร์รวมเสมอกัน 2-2 ก่อนจะตามมาเอาคืน ปาร์ม่า ได้ในเกม ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า ที่เฉือนเอาชนะไป 2-1

2003 – ลิปปี้ พาทีมป้องกันแชมป์ลีกได้สำเร็จ จากการทำแต้มทิ้งห่าง อินเตอร์ มิลาน ได้ถึง 7 คะแนนหลังจบ 34 นัดในฤดูกาล 2002-03 นอกจากนี้เขายังพา เบียงโคเนรี่ เข้าชิงบังลังก์จ้าวยุโรปเป็นหนที่ 4 หลังจากที่เคยทำได้ 3 ครั้งติดต่อกันในระหว่างช่วงเวลาแรกกับที่นี่ แต่สุดท้ายก็ยังคงเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขาทำให้แฟนๆได้สมหวัง เมื่อทีมพ่ายในการดวลจุดโทษให้กับ เอซี มิลาน หลังเสมอกัน 0-0 ภายในเวลา 120 นาที แต่พวกเขาก็ได้มาล้างตากับ ปีศาจแดงดำ ในถ้วย ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า และกลับมาเป็นฝ่ายชนะในการดวลจุดโทษหลังจบเกม 120 นาทีด้วยการเสมอกัน 1-1

2004 – ซีซั่นสุดท้ายของ ลิปปี้ ก่อนจะจากทีมไปอีกครั้งหลังสิ้นสุดฤดูกาลด้วยการย้ายไปคุมทีมชาติอิตาลี จบด้วยการคว้าอันดับที่ 3 ในขณะที่เขายังพาทีมผ่านเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ โคปปา อิตาเลีย แต่ก็พ่ายให้กับ ลาซิโอ ด้วยผลรวม 2 นัด 4-2

2005 – ฟาบิโอ คาเปลโล่ คือผู้ที่เข้ามารับงานต่อจาก มาร์เซลโล่ ลิปปี้ และเริ่มต้นเสริมทัพด้วยการคว้าตัว ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หัวหอกจอมลีลา มาจาก อาแจ็กซ์ เพื่อช่วยแบ่งเบาบทบาทการยืนค้ำในแดนหน้าของ ดาวิด เทรเซเก้ต์ และยังไปคว้าตัว ฟาบิโอ คันนาวาโร่ มาจาก อินเตอร์ มิลาน ที่ได้กลับมาประสานงานในแนวรับร่วมกับ ลิลิยอง ตูราม และ จานลุยจิ บุฟฟ่อน สหายเก่าที่เคยร่วมสร้างชื่อกับ ปาร์ม่า มาด้วยกัน จนทำให้ทีมทำแต้มทิ้งห่าง เอซี มิลาน ไปไกล 7 คะแนนและคว้าแชมป์ เซเรีย อา ได้ในที่สุด แต่จากคำตัดสินคดี กัลโช่โปลี ในช่วงซัมเมอร์ปี 2006 ก็ทำให้แชมป์ของพวกเขาในซีซั่นนี้ถูกริบคืนและสุดท้ายก็ไม่มีการประกาศให้ทีมใดเป็นผู้ชนะเลิศภายในปีนี้

2006 – ก่อนที่เรื่องราวฉาวโฉ่ของวงการลูกหนัง อิตาลี จะแดงขึ้นมา คาเปลโล่ ก็สามารถพาทีมป้องกันแชมป์ได้อีกในซีซั่นต่อมา โดยในคราวนี้พวกเขาสามารถโกยแต้มทิ้งห่าง อินเตอร์ มิลาน ทีมอันดับ 2 ไปไกลถึง 15 คะแนน นอกจากนี้ทีมยังส่งผู้เล่น 5 คนได้แก่ จานลุยจิ บุฟฟ่อน, ฟาบิโอ คันนาวาโร่, จานลูก้า ซัมบร็อตต้า, เมาโร คาโมราเนซี่ และ อเลสซานโดร เดล ปิเอรี่ ร่วมไปกับ 23 ขุนพลอัซซูร์รี่ ที่ไปได้ไกลจนสุดทางในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ที่ เยอรมนี จนสามารถคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 มาครองได้สำเร็จ แต่ก่อนที่ อิตาลี จะลงเตะนัดชิงดำกับ ฝรั่งเศส เพียงไม่กี่วัน คำตัดสินของคดี กัลโช่โปลี ที่เกี่ยวโยงถึงเครือข่ายในการล็อคตัวผู้ตัดสินเพื่อลงทำหน้าที่ในแต่ละเกม ก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า ยูเว่ ถูกริบแชมป์ซีซั่น 2004-05 คืน และถูกปรับตกชั้นลงไปอยู่ใน เซเรีย บี ฤดูกาลหน้าพร้อมกับเริ่มต้นด้วยการติดลบ 9 คะแนน ในขณะที่แชมป์ในฤดูกาลนี้ก็ยกให้กับ อินเตอร์ มิลาน แทน และจากผลที่ตามมาก็ทำให้สโมสรต้องยอมโละสตาร์ส่วนใหญ่ออกไปทั้ง คันนาวาโร่ และ เอเมอร์สัน ให้กับ เรอัล มาดริด, ตูราม และ ซัมบร็อตต้า ไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า, อาเดรียน มูตู ย้ายไป ฟิออเรนติน่า, ปาทริค วิเอร่า และ อิบราฮิโมวิช ก็หันไปซบอก อินเตอร์ แต่ในขณะเดียวกัน เดล ปิเอโร่, บุฟฟ่อน, เทรเซเก้ต์, คาโมราเนซี่ และ เนดเวด เลือกจะอยู่ล่มหัวจมท้ายกับทีมต่อไป

2007 – หลังการจากไปของ คาเปลโล่ ที่ย้ายไปคุมทีม เรอัล มาดริด สโมสรก็แต่งตั้ง ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ อดีตกองกลางที่เคยคว้า สคูเด็ตโต้ ร่วมกับทีมมาแล้ว 3 สมัยให้มาทำหน้าที่แทน และแม้พวกเขาจะต้องเริ่มต้นด้วยแต้มติดลบ 9 คะแนน แต่หลังจากเปิดบ้านเอาชนะ มานโตว่า 2-0 ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมทีมก็สามารถทำแต้มทิ้งขาด นาโปลี และการันตีการเลื่อนชั้นขึ้นสู่ เซเรีย อา ด้วยตำแหน่งแชมป์อย่างแน่นอน พร้อมๆกับการประกาศลาออกของ เดส์ชองส์ เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งกับ อเลสซิโอ เซคโค่ ผอ.ฟุตบอลของทีม จนทำให้ จานคาร์โล่ คอร์ราดินี่ ผู้ช่วยของเขาขยับขึ้นมารักษาการณ์แทนในอีก 2 นัดที่เหลือ ก่อนที่สโมสรจะประกาศแต่งตั้ง เคลาดิโอ รานิเอรี่ ให้มานั่งเก้าอี้คุมทีมในฤดูกาลหน้า

2008 – รานิเอรี่ จัดการเสริมทัพด้วยการดึงตัว ซเดเน็ค กรีเกร่า กองหลังทีมชาติสาธารณรัฐเช็ก เข้ามาช่วยในแนวรับ และ ธิอาโก้ เมนเดส มิดฟิลด์ชาวโปรตุเกส เข้ามาเสริมในแดนกลาง ก่อนจะจบฤดูกาลแรกในการหวนกลับคืนสู่ลีกสูงสุดด้วยอันดับที่ 3 โดยมีแต้มตามหลัง อินเตอร์ มิลาน ทีมแชมป์ไปไกลถึง 13 คะแนน

2009 – ทีมตัดสินใจทุ่มงบ 22.8 ล้านยูโร ในการกระชากตัว อเมารี ศูนย์หน้าชาวบราซิล ที่เลือกเล่นให้กับ ทีมชาติอิตาลี ในภายหลัง รวมถึง คริสเตียน โพลเซ่น กองกลางชาวเดนมาร์ก มาจาก เซบีย่า ในราคา 9.75 ล้านยูโร และ โอลอฟ เมลเบิร์ก ที่ได้ตัวมาแบบฟรีๆจาก แอสตัน วิลล่า ในขณะที่ เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ กองกลางเด็กปั้นที่ย้ายกลับมาจากการยืมตัวกับ เอ็มโปลี ก็สามารถแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว ก่อนจะช่วยกันสร้างผลงานจนทำให้ทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 2 แต่ รานิเอรี่ กลับอยู่กับทีมได้ไม่ทันจบซีซั่น หลังจากถูก ชิโร่ แฟร์ราร่า ที่กำลังดูแลทีมชุดเยาวชนขึ้นมาเสียบแทนใน 2 นัดสุดท้ายของฤดูกาล

2010 – และแล้ว แฟร์ราร่า ที่ได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ถาวรต่อจาก รานิเอรี่ ก็กระเด็นหลุดออกจากตำแหน่งในช่วงปลายเดือนมกราคม 2010 หลังทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง ในขณะที่ อัลแบร์โต้ ซัคเคโรนี่ ที่เข้ามารับไม้ต่อก็ไม่ได้ช่วยให้ผลงานของทีมกระเตื้องขึ้นเท่าไรนัก จนทำให้จบฤดูกาล 2009-10 ด้วยอันดับที่ 7 พร้อมกับการประกาศอำลาสนามของ พาเวล เนดเวด

2011 – ในช่วงก่อนออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นกับสโมสรโดย อันเดรีย อักเนลลี่ ขยับเข้ามานั่งเก้าอี้ประธานแทน ฌอง-โคล้ด บล็อง และลงมือจัดการกับตำแหน่งของ ซัคเคโรนี่ และ อเลสซิโอ เซคโค่ ผอ.กีฬา ด้วยการแทนที่โดย ลุยจิ เดลเนรี่ และ จูเซปเป้ มารอตต้า เฮดโค้ชและผอ.กีฬาของ ซามพ์โดเรีย อย่างไรก็ตามด้วยผลงานการจบในอันดับที่ 7 ก็ทำให้ เดลเนรี่ ไม่ได้ไปต่อในฤดูกาลหน้า ก่อนที่ทีมจะประกาศแต่งตั้ง อันโตนิโอ คอนเต้ อดีตกองกลางกัปตันทีมที่พึ่งนำ เซียน่า เลื่อนชั้นขึ้นสู่ เซเรีย อา ให้เข้ามาทำหน้าที่แทน

2012 – การเข้ามารับตำแหน่งของ คอนเต้ เกิดขึ้นพร้อมๆกับการได้ตัว 2 ผู้เล่นแดนกลางคนสำคัญอย่าง อันเดรีย ปิร์โล่ ที่ย้ายมาแบบฟรีๆจาก เอซี มิลาน และ อาร์ตูโร่ วิดัล จาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในราคาเพียง 10.5 ล้านยูโร นอกจากนี้ทีมยังไปคว้าตัว สเตฟาน ลิคท์สไตเนอร์ แบ็คขวาชาวสวิสมาจาก ลาซิโอ ที่กลายเป็นหนึ่งในแผงหลังคนสำคัญของทีมไปอีกนานหลายปี ในระหว่างฤดูกาลแรกที่ย้ายเข้ามาใช้สนาม ยูเวนตุส สเตเดี้ยม ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น อัลลิอันซ์ สเตเดี้ยม ในภายหลัง ทีมขับเคี่ยวลุ้นแชมป์มากับ เอซี มิลาน ได้อย่างสูสี และแม้พวกเขามักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องศูนย์หน้าตัวเป้าทั้ง อเลสซานโดร มาตรี้ และ มีร์โก วูชินิช ที่ทำผลงานไม่ได้ตามที่คาดหวัง แต่ทีมก็ยังสามารถทำประตูได้อย่างสม่ำเสมอจากผู้เล่นคนอื่นๆ จนกระทั่งนัดรองสุดท้ายที่ เบียงโคเนรี่ ได้กลับมาฉลองแชมป์เป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีหลังเอาชนะ กายารี่ 2-0 ในขณะที่ ปีศาจแดงดำ เกิดพ่ายในศึก มิลาน ดาร์บี้ 4-2 จนคะแนนทิ้งขาดไป และภายหลังจากการเปิดบ้านเอาชนะ อตาลันต้า 3-1 ในนัดส่งท้าย ก็ทำให้ ยูเวนตุส กลายเป็นทีมแรกนับตั้งแต่เริ่มเปิดตัว เซเรีย อา ที่สร้างผลงานการเป็นแชมป์แบบไร้พ่ายได้ตลอดทั้งฤดูกาล รวมถึงยังสร้างสถิติเสียไปเพียงแค่ 20 ประตูซึ่งเป็นผลงานในเกมรับที่ดีที่สุดของประเทศในระบบลีกสูงสุดปัจจุบัน นอกจากนี้ คอนเต้ ยังพาทีมเข้าไปจนถึงรอบชิง โคปปา อิตาเลีย แต่ก็พ่ายให้กับ นาโปลี 2-0 ก่อนจะมาเอาคืนได้ในถ้วย ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า ที่กลับมาเอาชนะได้ 4-2 ในช่วงก่อนออกสตาร์ทฤดูกาลถัดมา

2013 – พวกเขาสามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จหลังจากทำแต้มอยู่เหนือ นาโปลี 9 คะแนนเมื่อจบ 38 เกม และก็เหมือนกับในซีซั่นที่ผ่านมาเมื่อทีมของ คอนเต้ ไม่ได้พึ่งพาการทำประตูจากบรรดากองหน้า โดยที่ อาร์ตูโร่ วิดัล กลายเป็นดาวซัลโวในลีกของทีมร่วมกับ มีร์โก วูชินิช แต่เขากลับสามารถยิงประตูรวมในทุกถ้วยได้มากกว่า หัวหอกชาวมอนเตเนโกร ด้วยซ้ำ ก่อนที่ทีมจะมาถล่ม ลาซิโอ 4-0 ในถ้วย ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2013

2014 – อันโตนิโอ คอนเต้ พาทีมม้าลาย คว้าถ้วย สคูเด็ตโต้ ได้เป็นปีที่สามติดต่อกัน และนี่ยังเป็นแชมป์สมัยที่ 30 ของสโมสรพร้อมๆกับสถิติการเก็บแต้มได้มากถึง 102 คะแนนจากชัยชนะทั้งหมด 33 นัด และแม้ทีมจะตกจากรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่พวกเขาก็ได้ไปต่อในถ้วย ยูโรปา ลีก จนถึงรอบตัดเชือกที่พ่ายให้กับ เบนฟิก้า ด้วยผลรวม 2-1 ก่อนที่ คอนเต้ จะจากทีมไปเพื่อรับตำแหน่งกุนซือทีมชาติอิตาลีหลังจบฤดูกาล 2013-14

คอนเต้ พา ทีมม้าลาย คว้าถ้วย สคูเด็ตโต้ ได้เป็นปีที่สามติดต่อกัน

2015 – มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี คือผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งต่อจาก คอนเต้ และเขาก็สืบสานความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่องด้วยการพาทีมเข้าป้ายเป็นที่ 1 โดยอยู่เหนือ โรม่า อันดับสองถึง 17 คะแนน นอกจากนี้เขายังช่วยให้ทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ด้วยการเฉือนเอาชนะ ลาซิโอ 2-1 ในนัดชิง อิตาเลียน คัพ จากประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษของ อเลสซานโดร มาตรี้ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาพลาดโอกาสคว้าแชมป์ยุโรปหลังผ่านเข้าไปเผชิญหน้ากับ บาร์เซโลน่า ที่สนาม โอลิมเปียสตาดิโอน กรุงเบอร์ลิน ในนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่แม้ อัลบาโร่ โมราต้า จะช่วยตามตีเสมอเป็น 1-1 ในช่วงต้นครึ่งหลังจากที่โดนนำไปก่อนอย่างรวดเร็วจาก อิวาน ราคิติช แต่สุดท้ายก็มาเสีย 2 ประตูจาก หลุยส์ ซัวเรซ และ เนย์มาร์ จนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป 3-1 จนกระทั่งถึงช่วงหน้าร้อนที่ทีมกลับมาเอาชนะ ลาซิโอ 2-0 ได้ในถ้วย ซูเปอร์ โคปปา อิตาเลียน่า

2016 – จากความร้อนแรงของ เปาโล ดีบาล่า หัวหอกป้ายแดงที่ย้ายมาจาก ปาแลร์โม่ ผู้ที่ซัดไป 19 ประตูจนเป็นรองดาวซัลโวของลีกต่อจาก กอนซาโล่ อิกวาอิน ดาวยิงของ นาโปลี บวกกับความยอดเยี่ยมในการเป็นราชันแอสซิสต์ของ ปอล ป็อกบา ที่เข้ามายึดตำแหน่งในแดนกลางได้อย่างเหนียวแน่นตั้งแต่ 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็ทำให้ ยูเวนตุส คว้าแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 5 ติดต่อกัน พร้อมกับเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ เซเรีย อา ที่สามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ 2 ปีติดต่อกัน หลังจากสยบ เอซี มิลาน ได้ 1-0 ในรายการ โคปปา อิตาเลีย จากประตูชัยของ อัลบาโร่ โมราต้า ในนาทีที่ 110

2017 – ทีมเสีย 2 ผู้เล่นคนสำคัญออกไปในช่วงซัมเมอร์ โดย โมราต้า ย้ายกลับไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ในขณะที่ ปอล ป็อกบา ก็หวนกลับไปซบรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โดยที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยอมจ่ายเงินค่าตัวเป็นสถิติโลก 105 ล้านยูโร ก่อนที่พวกเขาจะหันไปเสริมทีมด้วยการดึงตัว กอนซาโล่ อิกวาอิน หัวหอกเลือดฟ้าขาวมาในราคา 90ล้านยูโร และ มิราเล็ม ปานิช จาก โรม่า มาในราคา 32 ล้านยูโร รวมถึงไปสอย ดานี่ อัลเวส จาก บาร์เซโลน่า มาแบบไม่มีค่าตัว ซึ่งนอกจากทีมจะคว้าแชมป์ เซเรีย อา ได้เป็นสมัยที่ 6 ติดต่อกันหลังจากเอาชนะ โครโตเน่ 3-0 ในนัดรองสุดท้าย ก็ยังมาสยบ ลาซิโอ 2-0 ได้ในเกมนัดชิง อิตาเลียน คัพ ที่กลายเป็นแชมป์สมัยที่ 12 ของพวกเขา นอกจากนี้ทีมยังผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ปี แต่ก็ยังคงอกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อพ่ายให้กับ เรอัล มาดริด 4-1 โดย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จัดการเหมาคนเดียว 2 ประตูในเกมที่ลงเตะกันใน มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม กรุงคาร์ดิฟฟ์

2018 – มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี เดินหน้าพา ยูเว่ ครองแชมป์ สคูเด็ตโต้ เป็นสมัยที่ 7 ติดต่อกัน แถมยังผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศในรายการ โคปปา อิตาเลีย กับ เอซี มิลาน ที่จบลงด้วยการถล่มคู่แข่งแบบไม่ไว้หน้า 4-0 ซึ่งก็ถือเป็นการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ตลอดทั้ง 4 ปีนับตั้งแต่ที่เขาย้ายมาอยู่กับยอดทีมแห่ง ตูริน โดยหลังจากจบฤดูกาล 2017-18 จานลุยจิ บุฟฟ่อน ยอดนายทวารที่อยู่กับสโมสรมายาวนาน 17 ปีก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในขณะที่ทีมตัดสินใจเสริมทัพในฤดูกาลหน้าด้วยการยอมทุ่ม 100 ล้านยูโรเพื่อกระชากตัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มาจาก เรอัล มาดริด ก่อนจะยอมปล่อย กอนซาโล่ อิกวาอิน ให้กับ เอซี มิลาน ด้วยสัญญายืมตัวพร้อมเงื่อนไขในการซื้อขาดหลังจบฤดูกาล.

อัลเลกรี เดินหน้าพา ยูเว่ ครองแชมป์ สคูเด็ตโต้ เป็นสมัยที่ 7

ผู้สนับสนุนและศัตรูคู่อริ

ยูเวนตุส คือสโมสรที่มีกลุ่มแฟนบอลคอยสนับสนุนมากที่สุดใน อิตาลี โดยคิดเป็นจำนวนกว่า 12 ล้านคนหรือเทียบเท่ากับ 34% ของจำนวนแฟนบอลทั่วทั้งประเทศจากผลสำรวจของ Demos & Pi บริษัทเอเยนซี่สัญชาติอิตาเลียน และยังรวมถึงการเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีกองเชียร์มากที่สุดในโลก จากกลุ่มผู้สนับสนุนราว 300 ล้านคน (เฉพาะในยุโรป 41 ล้านคน) โดยเฉพาะจากประเทศที่อยู่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พวกเขามีศัตรูคู่อาฆาตที่แบ่งเป็น 2 รายหลักๆ โตริโน่ คือทีมคู่อริดั้งเดิมหลังจากที่แยกตัวออกมาโดยกลุ่มสตาฟฟ์และนักเตะบางส่วนของ ยูเว่ ตั้งแต่ปี 1906 ซึ่งการพบกันระหว่าง 2 ทีมก็จะมีชื่อเรียกว่า “ดาร์บี้ เดลลา โมเล่” (Derby della Mole) หรือ ดาร์บี้แห่งตูริน

ยูเวนตุส คือสโมสรที่มีกลุ่มแฟนบอลคอยสนับสนุนมากที่สุดใน อิตาลี

ในขณะที่อีกหนึ่งทีมคู่แข่งสำคัญที่มีโปรไฟล์เลิศหรูก็คือ อินเตอร์ มิลาน โดยการพบกันระหว่างทั้งคู่จะถูกเรียกว่า “ดาร์บี้ ดีตาเลีย” (Derby d’Italia) หรือ ดาร์บี้แห่งอิตาลี จากที่ทั้ง 2 ฝ่ายมักจะคอยเบียดลุ้นตำแหน่งจ่าฝูงของตารางคะแนนมาด้วยกันบ่อยครั้งก่อนคดีดัง กัลโช่โปลี จะโป๊ะแตกขึ้นมาจนทำให้ ทีมม้าลาย ต้องรับโทษให้ลงไปเล่นอยู่ใน เซเรีย บี พวกเขาคือ 2 ทีมเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดอยู่ในเวที เซเรีย อา มาได้โดยตลอด นอกจากนี้พวกเขายังเป็น 2 สโมสรที่มีฐานแฟนบอลมากที่สุด 2 อันดับแรกของประเทศอีกด้วย ในขณะที่ เอซี มิลาน ก็ถือเป็นอีกหนึ่งคู่อริสำคัญจากการเป็น 2 ทีมจาก อิตาลี ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นการประชันกันระหว่าง 2 สโมสรที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงที่สุดของประเทศ และบ่อยครั้งที่พวกเขามักจะแย่งชิงตำแหน่งแชมป์ในรายการต่างๆด้วยกันอย่างเข้มข้น นอกจากนี้แล้ว โรม่า, ฟิออเรนติน่า และ นาโปลี ก็ยังถือเป็นทีมคู่แข่งของ ยูเวนตุส เช่นเดียวกัน