ลูกากู จากกองหน้าจอมฝืดของ ปีศาจแดง สู่เครื่องจักรถล่มประตูของ อินเตอร์

โรเมลู ลูกากู จากกองหน้าจอมฝืด

โรเมลู ลูกากู อดีตกองหน้าทีมชาติเบลเยียม ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ สลัดฟอร์มฝืดกับ “ปีศาจแดง” พร้อมกลับมาทำประตูได้อย่างต่อเนื่องกับ อินเตอร์ มิลาน ต้นสังกัดใหม่ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี อะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไป

ตอมมาโซ่ ฟิออเร่ กูรูฟุตบอลชาวอิตาเลี่ยน กล่าวกับ “สกายสปอร์ต” สื่อกีฬาชั้นนำแดนผู้ดีว่า “ลูกากู เป็นเหมือนคนที่ทำได้ตามคำสั่งของ คอนเต้ โดยตรงบนสนาม ซึ่งมั่นดูเหมือนว่า คอนเต้ กำลังควบคุมเขาด้วยรีโมตจากม้านั่งสำรอง เขาทำทุกอย่างที่ คอนเต้ ขอให้ทำ”

ลูกากู ไม่เคยเล่นใน เซเรีย อา มาก่อน แต่ อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือ อินเตอร์ ได้ประโยชน์สูงสุดจากเขาไปแล้ว โดยดาวเตะวัย 26 ปี ได้ลงสนามให้กับ “งูใหญ่” อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ย้ายมาจาก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา พร้อมกับซัดไปถึง 10 ประตู จากการลงสนาม 15 เกมในลีก

ดาวยิงเบลเยียม ได้รับการฟื้นฟูความมั่นใจจาก คอนเต้ ซึ่งได้ปลดเขาจากความกดดันในการเล่นในฐานะกองหน้าตัวคนเดียว และให้เขาลงเล่นเคียงข้างกับ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ หัวหอกชาวอาร์เจนไตน์ และทั่งคู่ช่วยกันยิงไปถึง 24 ประตู จนถึงเวลานี้

เดือนแรกของ ลูกากู ในอิตาลี นั้น เขาได้รับการชื่นชมจากแฟนบอล อินเตอร์ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาก้าวเท้าที่สนามบินในเมืองมิลาน ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยสาวก “งูใหญ่” หลายสิบคนตะโกนเรียกชื่อของเขาและสิ่งเดียวกันก็เกิดขึ้นในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา ที่สนามซานซิโร่ หลังอดีตแข้ง “ปีศาจแดง” ซัดประตูในเกมเปิดตัว

คอนเต้ กล่าวหลังจากเกมเปิดตัวของ ลูกากู ว่า “ลูกากู ได้เข้าสู่สโมสร อินเตอร์ ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตัวอย่างยิ่ง เขาเป็นคนตัวใหญ่แต่มีรอยยิ้มเสมอ เขาพร้อมเสมอที่จะทำงานกับเพื่อนร่วมทีมของเขา และพัฒนาตัวเอง”

แน่นอนว่าอดีตกองหน้า แมนฯยูไนเต็ด ถือป้ายราคาค่าตัวมหาศาลถึง 73 ล้านปอนด์ แต่นับตั้งแต่ลงสนามเกมแรกให้กับ อินเตอร์ นั้น เขาก็แสดงให้เห็นว่า ทำไมเขาจึงคุ้มค่าความพยายามของ “เนรัซซูรี่” ที่ยอมทุ่มเงินคว้าตัวเขามาร่วมทีม

ส่วนหนึ่งของความล้มเหลวของ ลูกากู ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด นั้น ลงลึกไปถึงความจริงที่ว่า เขาถูกมองว่าเป็นกองหน้าตัวเป้า และเล่นในระบบที่อาศัยเขาในฐานะศูนย์หน้าที่คอยค้ำกับกองหลังคู่แข่งเพื่อสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆทำประตู

ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา มีเพียงไม่กี่ทีมในยุโรปที่อยากให้ตัว ลูกากู ไปร่วมทีม และ คอนเต้ คือคนที่จริงจังมากที่สุด โดยนายใหญ่ อินเตอร์ ได้วางแผนแล้วว่าจะนำ ดาวยิงเบลเยียม เข้ามาเล่นร่วมกับ มาร์ติเนซ ในแดนหน้า เพื่อความสมบูรณ์แบบในแผนของเขา

ลูกากู และ มาร์ติเนซ ได้เล่นร่วมกันอย่างเข้าขารู้ใจ โดยที่ทั้งคู่ช่วยเล่นเกมรับตั้งแต่แดนหน้า และประสานงานกันได้เป็นอย่างดี รวมถึงมีการวิ่งทำทางซึ่งกันและกันตลอดทั้งเกม และพวกเขามีอิสระในการเล่นอย่างมาก

ลูกากู และ มาร์ติเนซ ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะได้รับเคมีที่เข้ากัน แต่การยิงร่วมกัน 24 ประตูนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถต้านทานได้ในตอนนี้ โดยที่ทั้งคู่มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากกับอดีตกองหน้า อินเตอร์ อย่าง ซามูเอล เอโต้ และ ดิเอโก้ มิลิโต้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในชุดทริปเปิ้ลแชมป์เมื่อปี 2010 ภายใต้การนำของ โชเซ่ มูรินโญ่ อดีตโค้ชชาวโปรตุเกส

ในทีมของ คอนเต้ นั้น ลูกากู ไม่ใช่ยืนคำในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้าอีกต่อไปแล้ว เขามีส่วนร่วมกับการทำเกมร่วมกับผู้เล่นในแดนกลาง และสร้างสรรค์โอกาสให้คนอื่นๆทำประตู รวมถึงยิงประตูด้วยตัวเอง และเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาสร้างสถิติกลายเป็นนักเตะ อินเตอร์ คนแรกที่ซัดประตูได้มากที่สุดใน 13 เกมแรก

ลูกากู ยิงประตูได้ในศึกมิลาน ดาร์บี้ แมตช์ และซัดประตูชัยในช่วงท้ายเกมกับ กาญารี่ และ โบโลญญ่า ซึ่งถือเป็นความทรงจำที่ดีของเขากับการลงเล่นเดือนแรกในเมืองมะกะโรนี และในตอนนี้ อินเตอร์ มีเป้าหมายหลักคือการไล่ล่าแชมป์ลีกจาก ยูเวนตุส อดีตแชมป์เก่า

การมีส่วนร่วมในทีม อินเตอร์ ของ ลูกากู นั้น ช่วยให้เขาสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับแฟนบอลตั้งแต่ต้นฤดูกาลจนถึงตอนนี้ และหัวหอกชาวเบลเยี่ยม กำลังทำสิ่งต่างๆมากขึ้นเพื่อเอาชนะร่วมกับพลพรรค “งูใหญ่”

ในวันแรกของ ลูกากู ที่ศูนย์ฝึกซ้อม Pinetina ของสโมสร

ในวันแรกของ ลูกากู ที่ศูนย์ฝึกซ้อม Pinetina ของสโมสร เขาขอเรียนภาษาอิตาลีเป็นการส่วนตัวเพื่อให้เข้าใจคำแนะนำของ คอนเต้ อย่างเต็มที่ และรู้สึกสบายใจในสนาม นั่นสะท้อนให้เห็นในการให้สัมภาษณ์หลังเกมของเขาด้วยภาษาอิตาเลี่ยน

ลูกากู กำลังใช้ชีวิตที่ อินเตอร์ ด้วยความกระตือรือร้นอย่างเต็มที่ เขามีความปรารถนา ทัศนคติและการเสียสละ ซึ่งมันอยู่ในทางตรงข้ามกับเดือนสุดท้ายของ เมาโร อิคาร์ดี้ อดีตดายิงชาวอาร์เจนไตน์ ที่มีปัญหากับสโมสร และย้ายไปยัง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในศึกลีกเอิง ฝรั่งเศส เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา

มัตเตโอ บาร์ซาญี่ ผู้สื่อข่าวในอิตาลี ระบุว่า “การทำงานร่วมกันของ ลูกากู กับ คอนเต้ นั้นยอดเยี่ยมมาก ดูเหมือน คอนเต้ ควบคุมเขาด้วยรีโมทจากม้านั่งสำรองได้เลย เขาทำได้ทุกอย่างตามที่ คอนเต้ ขอให้ทำ พวกเขาทั้งคู่แบ่งปันความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงาน”

ขณะเดียวกัน อดีตหัวหอก แมนฯยูไนเต็ด กล่าวว่า “สำหรับแผนการเล่นเกมของ คอนเต้ มันสำคัญมากที่กองหน้าจะให้การสนับสนุนกันแบบนี้ คอนเต้ เป็นโค้ชที่สมบูรณ์แบบสำหรับผมในตอนนี้ใ และในอาชีพของผม ผมต้องการคนที่ไว้ใจผมเหมือนอย่างที่เขาทำ”

ลูกากู และ มาร์ติเนซ ไม่ได้เล่นด้วยกันมากนักในช่วงสัปดาห์แรก แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบด้วยกลยุทธ์ของ คอนเต้ ซึ่งสั่งให้ทั้งคู่ส่งเสริมซึ่งกันและกันด้วยวิธีนี้ และพวกเขาทำมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ และได้รับฉายาว่า ‘Lautaku’

บาร์ซาญี่ กล่าวต่ออีกว่า “พวกเขาทั้งสองคนทำงานกันอย่างเท่าเทียมกันทั้งในและนอกสนาม และพวกเขาก็มองหาคนอื่นบนสนามด้วย และพวกเขาก็เข้าไปมีส่วนร่วมกับทีมด้วยเช่นกัน พวกเขาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ อินเตอร์ มีในตอนนี้”

ในซีซั่นนี้ยิ่งกว่าเรื่องอื่นใดปัญหาที่แท้จริง และจับต้องได้ของวงการฟุตบอลอิตาลีนั้น เกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติในสนาม และในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ลีกเมืองมะกะโรนีตีพิมพ์คำแถลงร่วมเพื่อเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า พวกเขามีปัญหาร้ายแรงเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติ และหลังจากนักฟุตบอลชั้นนำหลายคนถูกเหยียดเชื้อชาติระหว่างเล่นเกม

การเป็นผู้นำในการต่อสู้เพื่อกำจัดการเหยียดเชื้อชาตินั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่ ลูกากู วาดบทบาทของ ตัวเองไว้ในอิตาลี แต่เป็นสิ่งที่เขาทำโดยไม่ต้องถาม น่าเสียดายที่เขาเผชิญกับการถูกโจมตีในช่วงสัปดาห์ที่สองกับกาญารี่

อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของ ดาวยิงวัย 26 ปี ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ก็เป็นแบบอย่างที่ดี เพราะเขาเพียงยืนดูแฟนบอลที่ต้องการดูถูกเหยียดหยาม และมีคนไร้วินัยไม่กี่คนในอัฒจันทร์ ซึ่งมันทำให้วงการฟุตบอลอิตาลีเสื่อมเสียชื่อเสียง

หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลูกากู โพสต์ข้อความผ่านทาง Instagram เพื่อประณามสิ่งที่แฟนบอลทำ แต่สาวกส่วนหนึ่งของ อินเตอร์ คิดว่าไม่ใช่การเหยียดเชื้อชาติ แต่เป็นวิธีการช่วยเหลือทีม และผู้เล่นอื่นๆ 2-3 รายก็เคยเจอเหตุการณ์ในแบบเดียวกัน

กาบริเอเล กราวินา ประธานสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี (FIGC) ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยกล่าวว่า “เราจะต้องใช้วิธีการปราบปรามที่เข้มงวดมากขึ้น” และต่อมาการประกาศของ Serie A ระบุว่า จะเริ่มใช้เทคโนโลยี VAR เพื่อระบุและลงโทษผู้กระทำความผิดทางเชื้อชาติ

ตลอดอาชีพของเขา ลูกากู เป็นนักกิจกรรมเมื่อพูดถึงการเหยียดเชื้อชาติในสังคม และดังนั้นเขาจึงยังคงอยู่ที่ อินเตอร์ ต่อไป การโต้เถียงรอบหัวข้อ ‘Black Friday’ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดย “Corriere dello Sport” สื่อกีฬาชั้นนำเมืองมะกะโรนี ระบุว่า อดีตกองหน้า “ปีศาจแดง” เป็นเพียงตัวอย่างล่าสุดของสิ่งที่น่าเศร้าจากการโดนเหยียดเชื้อชาติ

อย่างไรก็ตาม มันเป็นที่ชัดเจนว่า วงการฟุตบอลอิตาลีต้องการบุคคลที่มีความสำคัญ และความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ซึ่ง ลูกากู จะเป็นจุดสำคัญในการต่อต้านการโดนเหยียดเชื้อชาติต่อไปในอนาคต

ลูกากู จะเป็นจุดสำคัญในการต่อต้านการโดนเหยียดเชื้อชาติ