บาเลนเซีย [Valencia]

บาเลนเซีย : ค้างคาวแห่งแดนกระทิงดุ

บาเลนเซีย

สโมสรฟุตบอลบาเลนเซีย ซีเอฟหรือที่พวกเราจักกันสั้นๆว่าบาเลนเซียเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศสเปน โดยมีที่ตั้งสโมสรอยู่ที่เมืองบาเลนเซียซึ่งมีชื่อเช่นเดียวกับสโมสร โดยบาเลนเซียเป็นสโมสรที่โลดแล่นอยู่ในลา ลีกาลีกซึ่งเป็นลีกสูงสุดของประเทศสเปน ตลอดการเล่นในลา ลีกา บาเลนเซียเป็นอีกหนึ่งทีมนอกเหนือจากเรอัล มาดริดกับบาร์เซโลน่าที่สามารถคว้าแชมป์ในประเทศมาครองได้ โดยลา ลีกาลีกซึ่งเป็นลีกสูงสุดของประเทศสเปนนั้นบาเลนเซียสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ 6 สมัย,แชมป์โกปา เดล เรย์ 7 สมัย ส่วนผลงานในระดับยุโรปนั้นบาเลนเซียสามารถคว้าแชมป์อินเตอร์ ซิตี้ส์ แฟร์ส คัพ(ก่อนต่อมาเปลี่ยนเป็นยูฟ่า คัพ) 2 สมัย,แชมป์ยูฟ่า คัพ 1 สมัย,แชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย และแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ อีก 2 สมัย โดยที่บาเลนเซียนั้นสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในรายการหลักของยุโรปได้ 7 ครั้งและสามารถคว้าแชมป์ได้ถึง 4 ครั้งที่ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศ นอกจากนี้แม้ว่าบาเลนเซียจะไม่เคยคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเลยซักครั้งแต่กระนั้นบาเลนเซียก็เคยเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้ถึงสองครั้งสองคราและยังเป็นการเข้ารอบชิงชนะเลิศติดต่อกันสองสมัยซ้อนด้วย โดยครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2000 ที่กรุงปารีสประเทศฝรั่งเศสซึ่งบาเลนเซียเข้ารอบชิงชนะเลิศไปพบกับคู่ปรับจากประเทศเดียวกันอย่างเรอัล มาดริดก่อนที่จะเป็นทีมราชันชุดขาวที่เอาชนะไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก 3-0 ต่อมาปี 2001 บาเลนเซียก็มีโอกาสแก้ตัวอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่สามารถฝ่าด่านยากๆจนไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้ โดยรอบชิงชนะเลิศในปีนั้นจัดขึ้นที่กรุงมิลานประเทศอิตาลี โดยคู่ชิงชนะเลิศของบาเลนเซียคือบาเยิร์น มิวนิคยักษ์ใหญ่จากประเทศเยอรมนี โดยสกอร์จบด้วยผลเสมอ 1-1 ก่อนที่จะตัดสินกันด้วยจุดโทษก่อนที่จะเป็นทางบาเยิร์น มิวนิคที่เอาชนะรองแชมป์เก่าเมื่อปี 2000 ไปได้ 5-4 วาเลนเซียเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มจี-14(G-14)ซึ่งเป็นองค์กรของสโมสรฟุตบอลยุโรปที่มีอยู่ในช่วงระหว่าง 2000-2008 ซึ่งประกอบไปด้วยสโมสรชั้นนำของทวีปยุโรปแรกเริ่มเดิมทีนั้นมีเพียงแค่ 14 สโมสรก่อนที่จะเพิ่มสมาชิกเป็น 18 สโมสรในปี 2002 โดยบาเลนเซียเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มจี-14ในปี 2002 พร้อมกับอาร์เซนอลจากประเทศอังกฤษ,ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นจากประเทศเยอรมนี และโอลิมปิก ลียงจากประเทศฝรั่งเศส

1919

บาเลนเซียถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1919 โดยมีสนามเหย้าของตัวเองคือสนามเมสตาย่าสเตเดี้ยมซึ่งสามารถรองรับจำนวนผู้ชมได้มากถึง 49,500 ที่นั่งเปิดใช้งานตั้งแต่ปี 1923 อย่างไรก็ตามบาเลนเซียเองก็มีแผนที่จะสร้างสนามเหย้าแห่งใหม่ขึ้นมาเพื่อให้รองรับจำนวนผู้ชมเพิ่มมากขึ้นโดยได้เริ่มต้นสร้างสนามแห่งใหม่ขึ้นมาในชื่อนูว์ เมสตาย่าสเตเดี้ยมซึ่งจะทำให้บาเลนเซียสามารถรองรับจำนวนผู้ชมได้เพิ่มขึ้นเป็น 75,000 ที่นั่งโดยสนามนูว์ เมสตาย่าสเตเดี้ยมนี้ตั้งอยู่บริเวณทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นบาเลนเซียโดยได้มีการก่อสร้างขึ้นในปี 2007 และมีแผนที่จะเปิดใช้งานในปี 2013 ถึงกระนั้นจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการเปิดใช้งานสนามนูว์ เมสตาย่าสเตเดี้ยมเนื่องจากยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จเพราะปัญหาในเรื่องของงบประมาณในการก่อสร้าง บาเลนเซียเป็นสโมสรที่มีแฟนบอลอยู่มากเป็นอันดับ 3 ในบรรดาทีมทั้งหมดที่อยู่ในประเทศสเปนเป็นรองเพียงแค่ 2 ทีมยักษ์ใหญ่อย่างเรอัล มาดริดกับบาร์เซโลน่าที่มีแฟนบอลอยู่ในประเทศจำนวนมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าบาเลนเซียนั้นก็เป็นอีกหนึ่งทีมที่มีแฟนบอลอยู่มากที่สุดในโลกโดยในทุกๆฤดูกาลนั้นจะมีแฟนบอลมากกว่า 50,000 คนซื้อตั๋วปีเพื่อเข้ามารับชมบาเลนเซียในเกมส์เหย้าที่สนามเมสตาย่าสเตเดี้ยมและยังมีแฟนบอลอีกมากกว่า 20,000 คนที่อยู่ในรายชื่อผู้ต้องการซื้อตั๋วปีแต่ก็ต้องรอจนกว่าสนามนูว์ เมสตาย่าจะพร้อมเปิดใช้งาน

ในเรื่องของคู่ปรับในลีกสเปนนั้นนอกจากสองทีมยักษ์ใหญ่จากเมืองหลวงกรุงมาดริดอย่างแอตเลติโก มาดริดกับเรอัล มาดริดรวมไปถึงบาร์เซโลน่า,เซบีญ่าที่เป็นคู่ปรับคอยแย่งแชมป์ลา ลีกากันอยู่แล้วนั้นบาเลนเซียก็มีคู่ปรับที่มาจากแคว้นเดียวกันเหมือนอย่างเช่นทีมอื่นๆอีกด้วย ซึ่งคู่ปรับที่เรียกได้ว่าโด่งดังที่สุดของบาเลนเซียก็คือทีมบียาร์เรอัลซึ่งการพบกันระหว่างบาเลนเซียและบียาร์เรอัลถูกยกว่าเป็น “ดาร์บี้แมตช์แห่งแคว้นบาเลนเซีย” เลยทีเดียวซึ่งสาเหตุที่การพบกันระหว่างบาเลนเซียและบียาร์เรอัลนั้นถูกยกให้เป็นดาร์บี้แมตช์แห่งแคว้นบาเลนเซียก็เป็นเพราะความสำเร็จของทั้งสองสโมสรที่โดดเด่นกว่าทีมอื่นๆที่อยู่ในแคว้นบาเลนเซียนั่นเอง นอกจากบียาร์เรอัลแล้ว บาเลนเซียก็ยังมีคู่ปรับร่วมแคว้นบาเลนเซียทีมอื่นอีก ได้แก่ เลบานเต้ซึ่งเป็นทีมที่มีตราสัญลักษณ์ของสโมสรคล้ายกับบาเลนเซียที่มีค้างคาวอยู่ในสัญลักษณ์สโมสรโดยทั้งบาเลนเซียและเลบานเต้นั้นต่างก็เป็นสองสโมสรที่เป็นคู่ปรับกันเนื่องมาจากทั้งสองสโมสรตั้งอยู่ในเมืองเดียวในแคว้นบาเลนเซีย นอกจากนี้ก็ยังมีเอร์กูเลสและซีดี คาสเตลล่อน สองสโมสรที่เป็นคู่ปรับร่วมแคว้นบาเลนเซีย

บาเลนเซียขึ้นชื่อในเรื่องของอะคาเดมี่ที่สามารถสร้างผลผลิตออกมาเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถจนถึงขั้นเป็นนักเตะระดับโลกได้ ซึ่งผู้เล่นที่มาจากอะคาเดมี่ของบาเลนเซียที่เป็นที่รู้จักของแฟนบอลทั่วโลกก็อาทิเช่น ราอูล อัลบิโอล ผู้เล่นตำแหน่งกองหลังทีมชาติสเปนที่ปัจจุบันลงเล่นให้กับนาโปลีทีมชั้นนำในกัลโช่ เซเรีย อาของประเทศอิตาลี,โฆเซ่ หลุยส์ กาย่า ผู้เล่นตำแหน่งแบ็คซ้ายดาวรุ่งของทีมบาเลนเซียที่สามารถขึ้นมาเป็นตัวจริงของทีมได้รวมไปถึงสามารถติดทีมชาติสเปนได้เป็นที่เรียบร้อย,อันเดรียส ปาลอปอดีตผู้รักษาประตูสัญชาติสเปนที่ปัจจุบันแขวนสตั๊ดและผันตัวไปเป็นผู้จัดการทีมเป็นที่เรียบร้อย,มิเกล อังกูโล่ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรุกรวมถึงกองหน้าให้กับบาเลนเซีย,ดาบิด อัลเบลด้าผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรับของบาเลนเซียอีกทั้งยังรับตำแหน่งเป็นกัปตันทีมในช่วงที่เขายังค้าแข้งอยู่ถิ่นเมสตาย่า สเตเดี้ยม,กาอิซก้า เมนดิเอต้าผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวเก่งของทีมที่เป็นผู้เล่นคนสำคัญที่ช่วยให้บาเลนเซียสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศรายกายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในปี 2000 และปี 2001,ฆวน เบร์นาต ผู้เล่นตำแหน่งแบ็คซ้ายที่ปัจจุบันไปค้าแข้งอยู่กับปารีส แซงต์ แชร์กแมงยักษ์ใหญ่ของลีก เอิงประเทศฝรั่งเศส,ดาบิด ซิลบา ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรุกที่ปัจจุบันค้าแข้งอยู่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้แชมป์เก่าพรีเมียร์ ลีกประเทศอังกฤษ,อิสโก้ ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรุกของทีมเรอัล มาดริดคู่ปรับแย่งแชมป์ลีกของบาเลนเซียซึ่งถึงแม้ว่าอิสโก้นั้นจะสร้างชื่อจากมาลาก้าก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมราชันชุดขาวแต่จริงๆแล้วนั้นอิสโก้ก็เป็นผู้เล่นอีกหนึ่งคนที่เป็นผลผลิตที่มาจากอะคาเดมี่ของบาเลนเซีย,จอร์ดี้ อัลบา ผู้เล่นตำแหน่งแบ็คซ้ายของทีมบาร์เซโลน่าและทีมชาติสเปนที่เคยเป็นผู้เล่นอะคาเดมี่ของบาเลนเซียในช่วงปี 2007-08 และปาโก้ อัลกาเซร์ ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าที่เคยเป็นผู้เล่นอะคาเดมี่ของบาเลนเซียจนสามารถติดทีมชุดใหญ่ได้ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลน่าและปัจจุบันก็กำลังโชว์ฟอร์มได้สวยกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์จ่าฝูงของบุนเดสลีกาขปงปรเทศเยอรมนีรวมถึงติดทีมชาติชุดใหญ่ของประเทศสเปนอีกด้วย

ประวัติสโมสร

ประวัติสโมสร

สโมสรฟุตบอลบาเลนเซียนั้นถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ปี 1919 ก่อนที่จะได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 มีนาคมปีเดียวกัน โดยมีออกตาวิโอ ออกัสโต้ มิเลโก้ ดิอาซเป็นประธานสโมสรคนแรกซึ่งน่าสนใจตรงที่ประธานสโมสรในขณะนั้นจะมาจากการโยนเหรียญ บาเลนเซียลงเล่นแมตช์แรกของสโมสรด้วยการออกไปเยือนบาเลนเซีย กิมนาสติโก้ก่อนที่จะแพ้ไปแบบเฉียดฉิว 1-0 ต่อมาในปี 1923 สโมสรบาเลนเซียก็ได้ทำการย้ายสนามเหย้ามายังเมสตาย่า สเตเดี้ยมที่เป็นสนามเหย้าในปัจจุบันซึ่งสนามเมสตาย่า สเตเดี้ยมนี้ตั้งอยู่ในเขตอัลกีรอส นัดแรกที่ลงเล่นในถิ่นเมสตาย่า สเตเดี้ยมของบาเลนเซียคือการลงเล่นในรายการชิงแชมป์ระหว่างภูมิภาคต่างในแคว้นบาเลนเซียในปี 1923 โดยเป็นการพบกับคาสเตลล่อน คาสตาเลีย โดยผลการแข่งขันจบลงด้วยผลเสมอก่อนที่จะมีการแข่งขันกันอีกรอบในอีกไม่กี่วันต่อมาก่อนที่นัดนี้จะเป็นบาเลนเซียที่สามารถเอาชนะคาสเตลล่อน คาสตาเลียไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 ทำให้บาเลนเซียคว้าแชมป์มาครองได้ และทำให้ได้สิทธิ์ในการลงเล่นในถ้วยโกปา เดล เรย์ซึ่งเป็นรายการแข่งขันชิงแชมป์ถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศสเปนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร

ต่อมาได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นภายในประเทศสเปนซึ่งส่งผลให้สโมสรบาเลนเซียอยู่ในภาวะไม่สามารถดำเนินกิจกรรมใดๆได้มากนักจนกระทั่งถึงปี 1941 ที่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์มาครองได้ด้วยการเอาชนะเอสปันญ่อลไปในรอบชิงชนะเลิศและในฤดูกาล 1941-42 นี่เองที่บาเลนเซียก็สามารถคว้าแชมป์ลา ลีกามาครองได้เช่นเดียวกันซึ่งในช่วงเวลานั้นการคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์นั้นจะทำให้มีผู้คนรู้จักและมีชื่อเสียงมากกว่าการคว้าแชมป์ลา ลีกามาได้ ซึ่งสโมสรบาเลนเซียก็สามารถคว้าแชมป์ลา ลีกามาครองได้อีกครั้งในฤดูกาล 1943-44 และ 1946-47 อย่าไงรก็ตามในช่วงทศวรรษที่ 1950 นั้นบาเลนเซียดูจะไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องการคว้าแชมป์เหมือนกับที่เคยทำได้ในทศวรรษที่ 1940 แต่อย่างน้อยในแง่ของการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกของสโมสรนั้นก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างน่าพอใจ โดยสโมสรได้มีการขยายจำนวนผู้รับชมเกมส์การแข่งขันในเมสตาย่า สเตเดี้ยมให้เพิ่มเป็น 45,000 ที่นั่งและในขณะเดียวกันบาเลนเซียก็ได้มีผู้เล่นมากความสามารถทั้งที่มาจากประเทศสเปนเองรวมไปถึงผู้เล่นต่างชาติตบเท้าเข้ามาร่วมทีม อาทิเช่น อันโตนิโอ โพชาเดส ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรับทีมชาติสเปน หรือจะเป็น ฟาส วิลเกส ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่ถือเป็นผู้เล่นต่างชาติรายแรกของทีมบาเลนเซีย เป็นต้น ซึ่งจากการเสริมทัพของบาเลนเซียนั้นทำให้ในฤดูกาล 1952-53 สโมสรสามารถจบฤดูกาลด้วยการเป็นรองแชมป์โดยแชมป์ลา ลีกาในฤดูกาลนั้นตกเป็นของบาร์เซโลน่าและในฤดูกาลถัดมาบาเลนเซียก็สามารถคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์ได้เป็นสมัยที่สามโดยการเอาชนะบาร์เซโลน่าไปได้ 3-0 ในรอบชิงชนะเลิศท่ามกลางผู้ชมกว่า 110,000 คนในสนามเอสตาดิโอ ชามาร์ติน(สนามเหย้าเก่าของเรอัล มาดริด) แต่อย่างไรก็ตามบรรดาผู้เล่นที่ย้ายมาร่วมทีมบาเลนเซียนั้นก็ค้าแข้งอยู่แค่ไม่กี่ปีซึ่งในช่วงทศวรรษที่ 1950 นี้เองเราก็จะเห็นผู้เล่นหลายๆคนของทีมย้ายออกจากสโมสร อย่างเช่น อันโตนิโอ โพชาเดส,ปาซีกุยโต,ซัลวาดอร์ มอนโซ่,บิเซนเต้ อเซนซี่ และอมาเดโอ อิบาร์เนซ เป็นต้น

ช่วงทศวรรษ 1960

แชมป์อินเตอร์ ซิตี้ส์ แฟร์ส คัพ 1960

ถือว่าเป็นยุคทองของบาเลนเซียในเวทียุโรปเลยทีเดียว โดยในฤดูกาล 1961-62 บาเลนเซียสามารถคว้าแชมป์แรกในเวทียุโรปมาครองได้สำเร็จโดยคว้าแชมป์อินเตอร์ ซิตี้ส์ แฟร์ส คัพ(ก่อนต่อมาเปลี่ยนเป็นยูฟ่า คัพ)ด้วยการเอาชนะบาร์เซโลน่าคู่ปรรับร่วมลีกไปได้โดยนัดแรกนั้นบาเลนเซียเอาชนะบาร์เซโลน่าไปได้อย่างถล่มทลาย 6-2 ที่สนามเมสตาย่า สเตเดี้ยมก่อนที่จะบุกไปเสมอ 1-1 ที่สนามคัมป์ นูของบาร์เซโลน่า รวมผลสองนัดบาเลนเซียคว้าแชมป์ด้วยสกอร์รวม 7-3 ก่อนที่ฤดูกาล 1962-63 บาเลนเซียจะป้องกันแชมป์อินเตอร์ ซิตี้ส์ แฟร์ส คัพไว้ได้ด้วยการเอาชนะดินาโม ซาเกรบยอดทีมจากประเทศโครเอเชีย(ขณะนั้นเป็นประเทศยูโกสลาเวียอยู่)ด้วยสกอร์รวมสองนัด 4-1 (นัดแรกบุกไปเอาชนะดินาโม ซาเกรบ 2-1 นัดที่สองเอาชนะไปได้ 2-0 ที่สนามเมสตาย่าสเตเดี้ยม) ซึ่งแม้ว่าในฤดูกาล 1963-64 บาเลนเซียจะสามารถเข้ารอบชิงชนะเลิศรายการอินเตอร์ ซิตี้ส์ แฟร์ส คัพนี้ได้เป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแต่ก็ทำได้เพียงแค่รองแชมป์เท่านั้นหลังจากที่แพ้ให้กับเรอัล ซาราโกซ่าไปด้วยสกอร์ 2-1 (ฤดูกาล 1963-64 แข่งขันในรอบชิงชนะเลิศแค่นัดเดียว)

ช่วงทศวรรษ 1970

1970

บาเลนเซียได้แต่งตั้งอัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่อดีตผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปีของยุโรป 2 สมัยมาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมในปี 1970 ซึ่งดิ สเตฟาโน่ก็สามารถพาทีมต้นสังกัดคว้าแชมป์ลา ลีกาเป็นสมัยที่สี่ของสโมสรได้ในทันที(ฤดูกาล 1970-71) ซึ่งทำให้บาเลนเซียสามารถคว้าสิทธิ์ในการลงเล่นในรายการใหญ่ของยุโรปอย่างยูโรเปี้ยน คัพ(ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในปัจจุบัน) ซึ่งบาเลนเซียเข้าไปถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายก่อนที่จะโดนอุจเปสติ โดสซ่าแชมป์ลีกของประเทศฮังการีเขี่ยตกรอบไป และในปี 1972 บาเลนเซียก็ทำได้เพียงแค่คว้ารองแชมป์รายการแข่งขันภายในประเทศสเปน ทั้งลา ลีกาและโกปา เดล เรย์ โดยแชมป์ลา ลีกาในปีนั้นได้แก่เรอัล มาดริดส่วนแชมป์โกปา เดล เรย์ในปีนั้นก็ได่แก่แอตเลติโก มาดริด บาเลนเซียสามารถคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์ได้อีกสมัยในฤดูกาล 1978-79 และในฤดูกาลต่อมาก็สามารถคว้าแชมป์ในรายการยุโรปได้อีกนั่นก็คือยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพโดยเอาชนะอาร์เซนอลทีมจากประเทศอังกฤษไปได้ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งในทศวรรษ 1970 นี้เองก็ได้มีผู้เล่นดาวดังมากมายในทีมที่เป็นที่รู้จักของแฟนบอลทั่วยุโรป ไม่ว่าจะเป็นเคิร์ต จารา มิดฟิลด์ชาวออสเตรีย,จอห์นนี่ เรป ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าชาวเนเธอร์แลนด์,ไรนาร์ บอนโฮฟ ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางชาวเยอรมันตะวันตก และคนสุดท้ายคือมาริโอ เคมเปส ศูนย์หน้าตัวเก่งชาวอาร์เจนติน่าที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมจนสามารถคว้ารางวัลดาวซัลโวของลา ลีกามาครองได้ถึง 2 ฤดูกาลติดต่อกันคือในฤดูกาล 1976-77 และฤดูกาล 1977-78

ช่วงทศวรรษ 1980

1980

ช่วงต้นของทศวรรษ บาเลนเซียก็มีผลงานที่ย่ำแย่โดยในปี 1982 บาเลนเซียได้แต่งตั้งมิลาน มิจานิชขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีม มิจานิชพาทีมบาเลนเซียรั้งอันดับที่ 17 พร้อมกับเหลือการลงสนามอีกเพียงแค่ 7 นัดเท่านั้นซึ่งทำให้บาเลนเซียปลดมิจานิชออกจากการเป็นผู้จัดการทีมและจัดการตั้งคอลโด อกูร์เรเป็นผู้จัดการทีมแทนซึ่งก็ช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นไปได้สำเร็จ ในฤดูกาล 1983-83 และฤดูกาล 1984-85 บาเลนเซียได้ประสบกับปัญหาการมีหนี้อย่างหนักภายใต้การบริหารทีมของบิเซนเต้ ตอร์มอล์ซึ่งทำให้สโมสรไม่สามารถจ่ายค่าเหนื่อยของผู้เล่นในทีมรวมไปถึงเงินเดือนของสต๊าฟต่างๆในทีมด้วย ทำให้ในขณะนั้นบรรยากาศภายในทีมบาเลนเซียนั้นเป็นไปอย่างย่ำแย่ จนผลสุดท้ายนั้นบาเลนเซียรั้งอันดับบ๊วยของตารางลา ลีกาพร้อมกับตกชั้นไปในฤดูกาล 1985-86 นับเป็นการตกชั้นครั้งแรกของบาเลนเซียในรอบ 55 ปีหลังจากที่โลดแล่นอยู่ในลีกสูงสุดของประเทศสเปนมาเป็นเวลานาน จากสถานการณ์ที่ย่ำแย่ของบาเลนเซียทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายตามมา โดยหลังจากนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนประธานสโมสรคนใหม่มาเป็นอาร์ตูโร่ ตูซ่อนซึ่งเขาได้ทำการดึงตัวอัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่กลับมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมอีกครั้งในปี 1986 และก็ดูจะเป็นผลดีต่อบาเลนเซียเพราะดิ สเตฟาโน่สามารถพาบาเลนเซียเลื่อนชั้นกลับมายังลา ลีกาได้สำเร็จในฤดูกาล 1986-87 อย่างไรก็ตามในฤดูกาลต่อมาดิ สเตฟาโน่ก็ต้องออกจากการเป็นผู้จัดการทีมหลังจากพาทีมจบที่อันดับ 14 ในลา ลีกา

ช่วงทศวรรษ 1990

1990

ในฤดูกาล 1991-92 สโมสรก็ตัดสินใจแต่งตั้งกุส ฮิดดิ้งค์นายใหญ่ชาวเนเธอร์แลนด์เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมโดยหวังที่จะยกระดับของทีมให้ไปสู่จุดที่เคยเป็น ซึ่งก็นับเป็นสัญญาณที่ดี ฮิดดิ้งค์เข้ามาคุมบาเลนเซียฤดูกาลพร้อมพาบาเลนเซียจบอันดับที่ 4 ในลา ลีกาและเข้าไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศในถ้วยโกปา เดล เรย์ และในปี 1992 บาเลนเซีย ซีเอฟ ก็ได้กลายมาเป็นบริษัทจำกัดทางกีฬาอย่างเป็นทางการ ต่อมาในปี 1993 ฮิดดิ้งค์ก็ได้ออกจากการเป็นผู้จัดการทีมบาเลนเซีย ซึ่งผู้จัดการทีมคนใหม่ในถิ่นเมสตาย่า สเตเดี้ยมที่เข้ามาแทนฮิดดิ้งค์ก็คือคาร์ลอส อัลแบร์โต้ แปร์ไรร่าชาวบราซิลซึ่งเพิ่งพาทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาครองได้ในปี 1994 ซึ่งแปร์ไรร่าก็ได้เสริมทัพเข้ามาในทันทีที่ได้คุมทีมด้วยการดึงตัวอันโดนี่ ซูบิซาร์เรต้า ผู้รักษาประตูชาวสเปน,โอเล็ก ซาเลนโก้ ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าชาวรัสเซีย อย่างไรก็ตามผลงานของแปร์ไรร่ากลับไม่เป็นที่พอใจนักทำให้เขาถูกแทนที่ด้วยโฆเซ่ มานูเอล ริเอโล่ อย่างไรก็ตามในช่วงทศวรรษ 1990 นี้ดูเหมือนว่าบาเลนเซียจะยังคงไม่สามารถคว้าแชมป์มาครองได้แม้ว่าทีมจะมีองค์ประกอบของทีมในเวลานั้นจะอยู่ในระดับที่สามารถคว้าแชมป์มาครองได้ก็ตามเพราะในขณะนั้นบาเลนเซียประกอบไปด้วยผู้เล่นฝีมือดีอย่าง โรมาริโอ้ กองหน้าชาวบราซิล,เคลาดิโอ โลเปซและอารีล โอเตก้า สองผู้เล่นชาวอาร์เจนติน่า,อาเดรียน ลิเลีย ผู้เล่นชาวโรมาเนีย ซึ่งหลังจากริเอโล่แล้วบาเลนเซียก็ยังตั้งหลุยส์ อราโกเนสและต่อมาก็เป็นจอร์จ วัลดาโน่เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมแต่ก็ยังไม่มีใครสามารถพาบาเลนเซียไปสู่ตำแหน่งแชมป์ได้ซักถ้วย

นับตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมาจนกระทั่งจบฤดูกาล 2004 บาเลนเซียถือว่าประสบความสำเร็จมีผลงานคว้าแชมป์และรองแชมป์มากที่สุดช่วงเวลาหนึ่งของสโมสรนับตั้งแต่ก่อตั้งมาเลยทีเดียวด้วยผลงานแชมป์ลา ลีกา 2 สมัย,แชมป์ยูฟ่าคัพ 1 สมัย,แชมป์โกปา เดล เรย์ 1 สมัย และแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพอีก 1 สมัยรวมไปถึงการเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกถึง 2 สมัยติดต่อกัน

ฤดูกาล 1999-2000

1999-2000

หลังจากการห่างหายจากการคว้าแชมป์มาเป็นเวลานานในที่สุดบาเลนเซียก็สามารถกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง ภายใต้การคุมทีมของเคลาดิโอ รานิเอรี่ เขาพาบาเลนเซียคว้าแชมป์สแปนิช ซูเปอร์ คัพ(การแข่งขันที่จะนำแชมป์ของลา ลีกากับแชมป์โกปา เดล เรย์มาพบกันคล้ายกับรายการเอฟเอ คัพของประเทศอังกฤษ) โดยการเอาชนะบาร์เซโลน่าไปได้พร้อมกับพาบาเลนเซียจบอันดับที่ 3 ในลา ลีกาฤดูกาลนั้นโดยมีคะแนนตามหลังเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า 4 คะแนนและมีคะแนนเท่ากับบาร์เซโลน่าที่ได้อันดับ 2 และฤดูกาล 1999-2000 นี้เองที่บาเลนเซียสามารถผ่านไปถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร อย่างไรก็ตามในรอบชิงชนะเลิศที่กรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับเรอัล มาดริดคู่ปรับร่วมชาติไป 3-0 ซึ่งหลังจากจบฤดูกาลผู้เล่นหลายคนของทีมก็ลาจากทีมไป อย่างเช่น เคลาดิโอ โลเปซที่ย้ายไปร่วมทีมลาซิโอในเซเรีย อาประเทศอิตาลี,ฮาเวียร์ ฟารินอสที่ย้ายไปร่วมทีมอินเตอร์ มิลานในเซเรีย อาประเทศอิตาลีและเจอราร์ดที่ย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลน่าคู่ปรับร่วมลีก อย่างไรก็ตามบาเลนเซียก็เสริมทัพเข้ามาช่วยเหลือทีมในช่วงปิดฤดูกาลไม่ว่าจะเป็นยอร์น คาริว ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าชาวนอร์เวย์,รูบิน บาราจา ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางชาวสเปน,โรแบร์โต้ อยาล่า ผู้เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คชาวอาร์เจนติน่า,บิเซนเต้ โรดริเกซ ผู้เล่นตำแหน่งปีกซ้ายชาวสเปน,ฟาบิโอ ออเรลิโอ ผู้เล่นตำแหน่งแบ็คซ้ายชาวบราซิล รวมไปถึงปาโบล ไอมาร์ ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรุกชาวอาร์เจนติน่า ซึ่งผู้เล่นที่บาเลนเซียนำมาเสริมทัพนั้นล้วนมีส่วนในการช่วยบาเลนเซียในการแย่งแชมป์ลา ลีกากับบรรดาทีมคู่ปรับอย่างเรอัล มาดริดและบาร์เซโลน่าในช่วงทศวรรษ 2000

ฤดูกาล 2000-01

2000-01

หลังผ่านเกมส์ลา ลีกาไปได้ 10 นัดก็เป็นบาเลนเซียที่รั้งตำแหน่งจ่าฝูง พร้อมกันนั้นลูกทีมของเฮคเตอร์ คูเปอร์นายใหญ่ของบาเลนเซียในขณะนั้นก็พาทีมค้างคาวเขี่ย 2 ทีมจากเมืองผู้ดีทั้งอาร์เซนอลในรอบก่อนรองชนะเลิศและลีดส์ ยูไนเต็ดในรอบรองชนะเลิศซึ่งทำให้บาเลนเซียสามารถเข้ารอบชิงชนะเลิศในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้เป็นปีที่สองติดต่อกันโดยจะเข้าไปพบกับบาเยิร์น มิวนิคจากลีกเยอรมนี และเป็นบาเยิร์น มิวนิคที่เอาชนะบาเลนเซียในการดวลจุดโทษไปได้ทำให้บาเลนเซียคว้าตำแหน่งรองแชมป์ในรายการนี้ไปเป็นปีที่สองติดต่อกันส่วนผลงานในลา ลีกานั้นผลสุดท้ายบาเลนเซียก็จบอันดับที่ 5 พลาดตั๋วไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาล 2001-02 หลังจากที่นัดสุดท้ายบุกไปแพ้บาร์เซโลน่าที่สนามคัมป์ นูไป 3-2 จากประตูชัยในนาทีสุดท้ายของริวัลโด้ กองหน้าชาวบราซิลของทีมเจ้าบุญทุ่ม ในเดือนกรกฎาคมปี 2001 เปโดร คอร์เตสประธานสโมสรบาเลนเซียในขณะนั้นได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานสโมสรไป ตลอดการดำรงตำแหน่งประธานสโมสรบาเลนเซียของคอร์เตส บาเลนเซียคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์ได้ 1 สมัย,แชมป์สแปนิช ซูเปอร์ คัพ 1 สมัยพร้อมกับได้รองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีก 2 ครั้ง โดยผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานสโมสรแทนคอร์เตสก็คือเจม ออร์ตี้ ซึ่งออรตี้ก็ได้ทำการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นและสต๊าฟโค๊ชของทีมเพื่อที่จะรักษาผลงานในเวทียุโรปให้ต่อเนื่องโดยการดึงตัวราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมของเตเนริเฟ่ที่เพิ่งพาทีมเลื่อนชั้นจากเซกุนด้า ลีก(ลีกดิวิชั่น 2 ของประเทศสเปน)ให้มาเป็นผู้จัดการทีมของบาเลนเซียแทนคูเปอร์ที่ย้ายไปคุมทีมอินเตอร์ มิลานในเซเรีย อาของประเทศอิตาลี

ฤดูกาล 2001-02

เกมส์แรกของพวกเขาเป็นการพบกับคู่ปรับแย่งแชมป์ลีกอย่างเรอัล มาดริดซึ่งจบเกมส์นั้นก็เป็นทางบาเลนเซียที่คว้าชัยชนะมาครองได้และเป็นชัยชนะที่สำคัญของทีมเพราะทำให้บาเลนเซียเก็บชัยชนะได้ติดต่อกันเป็นเกมส์ที่ 11 พร้อมกับทำลายสถิติชนะติดต่อกันมากที่สุดของสโมสรที่ทำไว้เมื่อฤดูกาล 1970-71 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่บาเลนเซียคว้าแชมป์ลา ลีกามาครองได้ภายใต้การคุมทีมของอัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ซึ่งหลังจากเกมส์ที่บาเลนเซียบุกไปแพ้เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมปี 2001 ทำให้บาเลนเซียจำเป็นที่จะต้องบุกเอาชนะเอสปันญ่อลที่สนามเอสตาดิ โอลิมปิก ลาลุยส์ คอมปานีส์ให้ได้เพื่อที่จะเกาะกลุ่มทีมลุ้นแชมป์ต่อไป ซึ่งจบครึ่งแรกนั้นกลับเป็นเอสปันญ่อลที่ขึ้นนำบาเลนเซียไปถึง 2-0 อย่างไรก็ตามในครึ่งหลังบาเลนเซียก็สามารถยิงคืนได้ถึง 3 ประตูพลิกกลับมาเอาชนะเอสปันญ่อลไปได้ 3-2 ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลลูกทีมของราฟาเอล เบนิเตซทำแต้มหล่นหายบ้างเล็กน้อยในเกมส์ที่พวกเขาบุกไปแพ้เรอัล มาดริดถึงสนามซานติเอโก้ เบร์นาเบว 1-0 อย่างไรก็ตามหกนัดต่อจากนั้นพวกเขาไม่แพ้ใครเลย โดยเป็นการเก็บชัยชนะได้ถึง 4 นัดและเป็นการเสมออีก 2 นัดในเกมส์ที่พบกับลาส พัลมาส,แอธเลติก บิลเบา,อลาเบส,เรอัล ซาราโกซ่า และบาร์เซโลน่า หนึ่งในเกมส์ที่สำคัญที่สุดในฤดูกาล 2001-02 ของบาเลนเซียคือเกมส์ที่พวกเขาจะเปิดบ้านรับการมาเยือนของเอสปันญ่อลซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาถูกเอสปันญ่อลขึ้นนำก่อนด้วยสกอร์ 1-0 อย่างไรก็ตามรูบิน บาราจา กองกลางชาวสเปนก็สวมบทเป็นฮีโร่ของทีมยิง 2 ให้บาเลนเซียพลิกกลับมาเอาชนะเอสปันญ่อลได้อีกครั้งด้วยสกอร์ 2-1 ชัยชนะในนัดนี้ทำให้บาเลนเซียทิ้งห่างเรอัล มาดริดทีมรองจ่าฝูง 3 คะแนนหลังจากที่เรอัล มาดริดบุกไปแพ้เรอัล โซเซียดาด นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2001-02 บาเลนเซียจะต้องบุกไปเยือนมาลาก้าถึงสนามเอสตาดิโอ ลา โรซาเลด้าเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมปี 2002 สองประตูจากโรแบร์โต้ อยาล่าและฟาบิโอ ออเรลิโอทำให้บาเลนเซียผงาดขึ้นมาคว้าแชมป์ลา ลีกาได้เป้นครั้งที่ 5 ของสโมสรเป็นเวลาถึง 31 นับจากที่พวกเขาคว้าแชมป์ลา ลีกาครั้งที่ 4 เมื่อปี 1971

ฤดูกาล 2002-03

2002-03

ฤดูกาลนี้ถือเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่น่าผิดหวังของบาเลนเซียเพราะเมื่อจบฤดูกาลพวกเขาไม่สามารถรักษาตำแหน่งแชมป์ไว้ได้มิหนำซ้ำยังหมดสิทธิ์ลงเล่นในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในฤดูกาล 2003-04 หลังจากที่พวกเขาทำได้เพียงแค่จบอันดับ 5 ตามหลังอันดับที่ 4 อย่างเซลต้า บีโก้อยู่เพียงแค่คะแนนเดียว โดยในฤดูกาลนี้เป็นเรอัล มาดริดที่คว้าแชมป์ลา ลีกาไปครองได้ส่วนผลงานของบาเลนเซียในเวทียุโรปนั้นพวกเขาเข้าถึงแค่รอบก่อนรองชนะเลิศโดยแพ้อะเวย์โกลต่ออินเตอร์ มิลานทีมจากเซเรีย อาลีกของประเทศอิตาลี ซึ่งแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในฤดูกาลนี้เป็นของเอซี มิลานที่เอาชนะจุดโทษยูเวนตุสคู่ปรับร่วมลีกเซเรีย อาไปได้

ฤดูกาล 2003-04

2003-04

ฤดูกาลนี้เราจะเห็นเรอัล มาดริดนำมาเป็นจ่าฝูงมาโดยตลอดจนกระทั่งถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยหลังจากผ่านเกมส์ลา ลีกาไปทั้งหมด 26 นัดทัพราชันชุดขาวมีคะแนนนำอันดับที่สองอยู่ 8 คะแนน อย่างไรก็ตามดูเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างบาเลนเซียซะมากกว่าเพราะ 5 นัดสุดท้ายของฤดูกาลเรอัล มาดริดนั้นโชว์ฟอร์มอย่างย่ำแย่แพ้รวดทั้ง 5 นัดทำให้บาเลนเซียสามารถคว้าแชมป์ลา ลีกาไปครองได้ในที่สุดนับเป็นแชมป์ลา ลีกาสมัยที่ 2 ในรอบ 3 ปี ส่วนผลงานในเวทียุโรปนั้นแม้ว่าบาเลนเซียจะได้ลงเล่นเพียงแค่รายการยูฟ่า คัพแต่ก็ถือว่าโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมสามารถคว้าแชมป์มาครองได้โดยเอาชนะโอลิมปิก มาร์กเซยจากประเทศฝรั่งเศสไปได้ 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศ
ในช่วงปิดฤดูกาล 2003-04 ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมก็ได้สร้างความตกใจให้กับแฟนบอลและสโมสรเมื่อเขาตัดสินใจที่จะลาออกจากสโมสรเนื่องจากมีปัญหากับทางประธานสโมสรโดยจุดหมายปลายทางของเบนิเตซคือทีมชื่อดังจากเกาะอังกฤษอย่างลิเวอร์พูล ซึ่งผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่ผู้จัดการทีมแทนเบนิเตซก็คือเคลาดิโอ รานิเอรี่ ซึ่งเคยเป็นอดีตผู้จัดการทีมของบาเลนเซียมาก่อนโดยรานิเอรี่เพิ่งจะโดนเชลซีไล่ออกจากการเป็นผู้จัดการทีมเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามผลงานการคุมทีมของรานิเอรี่ในรอบนี้ถือว่าน่าผิดหวัง ทางสโมสรมีความตั้งใจที่จะรักษาแชมป์ลา ลีกาไว้ให้ได้แต่ในความเป็นจริงบาเลนเซียกลับทำได้เพียงแค่จบอันดับที่ 7 เท่านั้นหมดสิทธิ์ไปเล่นในเวทียุโรปทั้งรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกและยูฟ่า คัพ พร้อมกับตกรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในฤดูกาลนั้นส่วนรานิเอรี่นั้นโดนไล่ออกจากการเป็นผู้จัดการทีมบาเลนเซียตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ กว่าที่บาเลนเซียจะได้ผู้จัดการทีมก็ต้องรอจนจบฤดูกาลโดยผู้ที่เข้ามาคุมทีมแทนรานิเอรี่ก็คือกีเก้ ซานเชซ ฟลอเรสผู้จัดการทีมของเกตาเฟ่ซึ่งกีเก้ก็ประเดิมการคุมทีมบาเลนเซียฤดูกาลแรกด้วยการพาทีมจบอันดับที่ 3 ในลา ลีกาซึ่งทำให้บาเลนเซียคว้าสิทธิ์ในการกลับไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีกครั้ง และต่อมาในฤดูกาล 2006-07 บาเลนเซียประสบกับความยากลำบากในการไล่ล่าแชมป์เนื่องจากปัญหาผู้เล่นตัวหลักมีอาการบาดเจ็บรวมถึงมีปัญหาภายในสโมสรระหว่างกีเก้และอเมเดโอ คาร์โบนี่ ผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ของสโมสร บาเลนเซียจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 ส่วนผลงานในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขาโดนเชลซีเขี่ยตกรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยผลสกอร์รวมสองนัด 3-2 ในช่วงปิดฤดูกาลปี 2007 ปัญหาความขัดแย้งระหว่างกีเก้กับคาร์โบนี่ก็ได้รับการคลี่คลายหลังจากที่ทางสโมสรตัดสินใจปลดคาร์โบนี่ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการของสโมสรและได้แต่งตั้งอังเคล รุยส์เข้ามาทำหน้าที่แทน ก่อนที่ในฤดูกาล 2007-08 หลังจากที่เริ่มเปิดฤดูกาลได้ไม่นานนักทางสโมสรก็ได้ตัดสินใจปลดกีเก้ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในวันที่ 29 ตุลาคมปี 2007 เนื่องจากทีมมีผลงานน่าผิดหวังและได้แต่งตั้งออสการ์ รูบิน เฟอร์นานเดซเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวจนกว่าจะได้ผู้จัดการทีมคนใหม่ซึ่งก็มีข่าวลือว่าทีมมีความต้องการที่จะดึงตัวมาร์เชลโล่ ลิปปี้หรือโชเซ่ มูรินโญ่มาเป็นผู้จัดการทีม อย่างไรก็ตามหวยกลับมาออกที่โรนัลด์ คูมันผู้จัดการทีมชาวเนเธอร์แลนด์ของพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่นที่เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมบาเลนเซียคนใหม่ ซึ่งผลงานของทีมนั้นก็ไม่ได้ดีขึ้นนักตรงกันข้ามบาเลนเซียกลับตกไปอยู่อันดับที่ 15 ของตารางโดยมีแต้มมากกว่าโซนตกชั้นเพียงแค่ 2 คะแนน ถึงแม้ว่าในวันที่ 16 เมษายนปี 2008 คูมันจะพาบาเลนเซียคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์สมัยที่ 7 ได้ด้วยการเอาชนะเกตาเฟ่ที่สนามบิเซนเต้ กัลเดร่อน 3-1 แต่หลังจากนั้นเพียงแค่ 5 วันบาเลนเซียก็ตัดสินใจปลดคูมันออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมหลังจากที่คืนก่อนหน้านั้นบาเลนเซียบุกไปแพ้แอธเลติก บิลเบาถึง 5-1 และได้แต่งตั้งให้ซัลวาดอร์ กอนซาเลซ มาร์โกมาเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวไปจนจบฤดูกาลซึ่งก็ถือเป็นการตัดสินที่ถูกต้องของสโมสร มาร์โกพาทีมค้างคาวชนะตั้งแต่นัดแรกที่เข้ามาคุมทีมด้วยการเอาชนะโอซาซูน่าไปได้ 3-0 พร้อมกับพาทีมขยับขึ้นมาจากโซนท้ายตารางมาอยู่โซนกลางตาราง จบฤดูกาล 2007-08 ด้วยการพาบาเลนเซียจบอันดับที่ 10

หลังจากจบฤดูกาล 2007-08 ในวันที่ 22 พฤษภาคมปี 2008 ในที่สุดบาเลนเซียก็ได้ผู้จัดการทีมคนใหม่นั่นก็คืออูไน เอเมรี่ ซึ่งก็ดูเป็นที่น่าประทับใจหลังจากที่เอเมรี่พาทีมเก็บชัยชนะได้ถึง 4 นัดจาก 5 นัดแรกที่คุมทีมซึ่งทำให้บาเลนเซียขึ้นนำเป็นจ่าฝูงของลา ลีกาในขณะนั้นซึ่งผลงานในเวทียุโรปก็ดีเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นผลงานในเวทียุโรปของทีมก็ยังคงดีเหมือนเดิมสวนทางกลับผลงานในลา ลีกาพวกเขาตกไปอยู่อันดับที่ 7 ในตารางพร้อมกันนั้นก็มีรายงานออกมาว่าสโมสรมีหนี้ภายในอยู่เป็นจำนวนเงินสูงถึง 400 ล้านยูโรและในรายงานก็ยังมีการบอกอีกว่าสโมสรไม่สามารถที่จะหาเงินมาจ่ายค่าเหนื่อยให้กับบรรดาผู้เล่นในทีมมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว ปัญหายังคงทวีคูณขึ้นเรื่อยๆเมื่อบาเลนเซียตกรอบยูฟ่า คัพหลังจากที่แพ้ดินาโม เคียฟทีมจากประเทศยูเครนด้วยอะเวย์โกลพร้อมกับการเก็บได้เพียง 5 คะแนนจากการลงเล่น 10 นัดในลา ลีกา อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาไม่นานสโมสรก็ได้ออกมาประกาศว่าทางสโมสรได้ทำการกู้ยืมเงินซึ่งจะทำให้สโมสรสามารถจ่ายค่าเหนื่อยให้กับบรรดาผู้เล่นในทีมได้จนถึงสิ้นปีซึ่งช่วยให้ผลงานของทีมดีขึ้นกว่าเดิม บาเลนเซียเก็บชัยชนะได้ถึง 6 นัดจากการลงเล่น 8 นัดทำให้ทีมกลับมามีลุ้นแย่งพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกแต่น่าเสียดายที่ 3 นัดสุดท้ายของฤดูกาลบาเลนเซียมีคิวพบกับแอตเลติโก มาดริดและบียาร์เรอัลที่ลุ้นพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเหมือนกับพวกเขาและเป็นแอตเลติโก มาดริดและบียาร์เรอัลที่เก็บชัยชนะได้ในเกมส์ที่ทั้งคู่พบกับบาเลนเซียทำให้จบฤดูกาลบาเลนเซียรั้งอันดับที่ 6 หมดสิทธิ์ลงเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลถัดมา ซึ่งปัญหาหนี้ของบาเลนเซียก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขจนมีข่าวลือว่าสโมสรอาจจำเป็นที่จะต้องปล่อยตัวดาบิด บีย่า,ฆวน มาต้า และดาบิด ซิลบา 3 ผู้เล่นมากพรสวรรค์ของทีมออกไปเพื่อที่จะแก้ปัญหาหนี้สินในทีม ต่อมาในฤดูกาล 2010-11 บาเลนเซียสามารถคว้าสิทธิ์ไปลงเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้อีกครั้งหลังจากที่ห่างหายจากรายการนี้ไปเป็นเวลา 2 ปีหลังจากที่พวกเขาสามารถจบอันดับที่ 3 ในลา ลีกาได้ในฤดูกาล 2009-10 อย่างไรก็ตามด้วยปัญหาหนี้สินของสโมสรทำให้ในช่วงปิดฤดูกาล 2010 สโมสรได้ปล่อยตัวสองผู้เล่นคนสำคัญของทีมอย่างดาบิด บีย่าไปให้กับบาร์เซโลน่าคู่ปรับร่วมลีกและปล่อยตัวดาบิด ซิลบาไปให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ทีมจากเกาะอังกฤษเพื่อที่จะทำให้สโมสรสามารถลดหนี้ของสโมสรลงไปได้ ถึงแม้ว่าบาเลนเซียจะเสียผู้เล่นคนสำคัญไปถึง 2 คนแต่ในฤดูกาล 2010-11 ทีมก็ยังคงสามารถที่จะจบฤดูกาลไปในอันดับที่ 3 ได้อีกครั้งหนึ่งส่วนผลงานในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกนั้นพวกเขาก็จบที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายหลังจากที่รวมผลสองนัดแพ้ชาลเก้ 04 ทีมจากลีกบุนเดสลีกาประเทศเยอรมนีไปและหลังจากจบฤดูกาล 2010-11 บาเลนเซียก็ต้องเสียฆวน มาต้ากัปตันทีมไปให้กับเชลซีเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของสโมสรไปอีกคน ซึ่งทำให้สโมสรสามารถลดหนี้ลงไปได้อย่างมากมายจากการขายผู้เล่นคนสำคัญทั้งสามคนไป จนในที่สุดมานูเอล ยอเรนเต้ประธานสโมสรก็ได้ออกมาประกาศว่าหนี้สินของสโมสรนั้นลดลงอย่างมากแล้วและแผนการในการที่จะก่อสร้างสนามเหย้าแห่งใหม่ก็จะเริ่มทำได้ประมาณปี 2012

2012-13

ระหว่างฤดูกาล 2012-13 ทางสโมสรได้ทำการดึงตัวเอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่แทนอูไน เอเมรี่แต่ก็มีผลงานไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไรนักหลังจากที่เขาไม่สามารถพาบาเลนเซียผ่านเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้จนสุดท้ายเขาก็ถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีมโดยคนที่มาแทนคือมิโรสลาฟ ยูคิช นายใหญ่ชาวเซอร์เบีย ต่อมาในวันที่ 5 กรกฎาคมปี 2013 บาเลนเซียก็มีประธานสโมสรคนใหม่นั่นคืออมาเดโอ ซัลโว ในฤดูกาล 2013-14 สโมสรตัดสินใจขายโรแบร์โต้ โซลดาโด้ กองหน้าตัวเก่งของทีมให้กับท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ทีมดังจากลีกผู้ดีเป็นจำนวนเงินกว่า 30 ล้านยูโรและถัดมาอีก 6 เดือนยูคิชก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมบาเลนเซียหลังจากที่พาทีมเก็บชัยชนะได้เพียงแค่ 6 นัดจาก16 เกมส์แรกในลา ลีกาถือเป็นสถิติการออกสตาร์ทฤดูกาลที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 15 ปีโดยคนที่มาแทนก็คือฮวน อันโตนิโอ ปิซซี่ ซึ่งภายใต้การคุมทีมของปิซซี่บาเลนเซียสามารถผ่านเข้ารอบไปถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่า ยูโรป้า ลีกก่อนที่จะแพ้ให้กับเซบีย่าคู่ปรับร่วมลีกและพาทีมจบอันดับที่ 8 ในลา ลีกาหมดสิทธิ์ลงเล่นในรายการยุโรปทุกรายการ ต่อมาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมปี 2014 สโมสรก็ได้ปลดปิซซี่ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมแบบสายฟ้าแล่บพร้อมกับแต่งตั้งนูโน่ เอสปิริโต้ ซานโตเข้ามาทำหน้าที่ผู้จัดการทีมแทนสร้างความประหลาดใจแก่แฟนบอลเป็นอย่างมากและในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันนั้นเอง ปีเตอร์ ลิม นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ได้เข้ามาซื้อสโมสรบาเลนเซียทำให้นักธุรกิจชาวสิงคโปร์รายนี้เป็นเจ้าของทีมคนใหม่ของบาเลนเซียนับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ซึ่งได้มีการเปิดเผยว่าการแต่งตั้งนูโน่เป็นผู้จัดการทีมบาเลนเซียนั้นเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ปีเตอร์ ลิมทำไว้ตอนเข้ามาซื้อสโมสรทันทีที่ข่าวนี้ถือหูของนักข่าวก็มีการสืบค้นจนทราบว่านูโน่นั้นมีความสนิทสนมกับจอร์จ เมนเดสเอเย่นต์ชื่อดังในวงการฟุตบอลซึ่งนูโน่นั้นเป็นลูกค้ารายแรกของเมนเดสยิ่งไปกว่านั้นทั้งเมนเดสและลิม เจ้าของสโมสรบาเลนเซียก็เป็นเพื่อนสนิทกันและเป็นคู่ค้าทางธุรกิจกันอีกด้วย ถึงแม้ว่าการเข้ามาของนูโน่จะเป็นที่กังขาของใครหลายๆคนแต่ผลงานของเขากับบาเลนเซียในฤดูกาลแรกนั้นถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว นูโน่เสริมทัพด้วยผู้เล่นมากความสามารถอย่างอัลบาโร่ เนเกรโด้,อังเดร โกเมซและเอ็นโซ เปเรซ ที่เพิ่งคว้ารางวัลนักฟุตบอลประจำปีของลีกประเทศโปรตุเกสพร้อมกันนั้นบาเลนเซียจบฤดูกาล 2014-15 ด้วยอันดับที่ 4 คว้าสิทธิ์ในการลงเล่นรอบคัดเลือกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต่อมาในฤดูกาล 2015-16 บาเลนเซียตัดสินใจปล่อยนิโคลัส โอตาเมนดี้ กองหลังชาวอาร์เจนติน่าให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยค่าตัว 32 ล้านปอนด์และคว้าตัวอายเมน อับเดนนูร์กองหลังของโมนาโกในลีก เอิงประเทศฝรั่งเศสมาแทนที่ด้วยค่าตัว 22 ล้านปอนด์ บาเลนเซียสามารถผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้หลังจากที่พวกเขาเอาชนะโมนาโกไปได้ด้วยผลสกอร์รวมสองนัด 4-3 อย่างไรก็ตามบาเลนเซียเริ่มต้นฤดูกาลได้ไม่ดีนักชนะเพียงแค่ 5 จากการลงสนาม 13 นัดในลา ลีกาอีกทั้งยังจบรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกด้วยอันดับที่ 3 หล่นลงไปเล่นรายการยูฟ่า ยูโรป้า ลีกแทน นอกจากนี้แฟนบอลจำนวนหนึ่งของสโมสรเริ่มแสดงความกังวลถึงอิทธิพลของจอร์จ เมนเดสที่มีต่อสโมสรเพิ่มมากขึ้นจนในที่สุดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนปี 2015 นูโน่ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมและเป็นแกรี่ เนวิลล์อดีตกองหลังระดับตำนานของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเข้ามาทำหน้าที่แทนในวันที่ 2 ธันวาคมปีเดียวกันอย่างไรก็ตามผลงานของทีมก็ไม่ดีขึ้น พวกเขาสะกดคำว่าชนะไม่เป็นเลยเป็นเวลากว่า 9 นัดติดต่อกันก่อนที่จะมาคว้าชัยชนะนัดแรกในฐานะผู้จัดการทีมให้กับเนวิลล์ได้ในเกมส์ที่พวกเขาเปิดสนามเมสตาย่า สเตเดี้ยมเอาชนะเอสปันญ่อลไปได้ 2-1 สุดท้ายเนวิลล์ก็ถูกไล่ออกจากการเป็นผู้จัดการทีมเมื่อวันที่ 30 มีนาคมปี 2016 พร้อมกับฝากสถิติคุมทีมด้วยเปอร์เซ็นต์ชนะน้อยที่สุดในลีกของสโมสรด้วยการชนะเพียงแค่ 3 จาก 16 นัดเท่านั้นโดยทางสโมสรได้แต่งตั้งปาโก้ อาเยสตารานผู้ช่วยผู้จัดการทีมของแกรี่ เนวิลล์เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมแทน จบฤดูกาล 2015-16 บาเลนเซียจบที่อันดับ 12 ต่อมาในฤดูกาล 2016-2017 สโมสรได้ตัดสินใจขายอังเดร โกเมซและปาโก้ อัลกาเซร์ให้กับคู่ปรับร่วมลีกอย่างบาร์เซโลน่ารวมไปถึงขายชโคดราน มุสตาฟี่ กองหลังทีมชาติเยอรมนีให้กับอาร์เซนอลในพรีเมียร์ ลีกประเทศอังกฤษ ในขณะที่ทีมก็ได้ทำการคว้าตัวเอเซเกล การายและนานี่เข้ามาช่วยทีม อย่างไรก็ตามปาโก้ อาเยสตารานก็ถูกไล่ออกไปหลังจากที่พาบาเลนเซียแพ้รวด 4 นัดติดนับตั้งแต่เริ่มฤดูกาลมา โดยเป็นทางด้านเซซาเร่ ปรันเดลลี่อดีตผู้จัดการทีมชาติอิตาลีเข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการทีมแทนอย่างไรก็ตามปรันเดลลี่คุมทีมได้เพียงแค่ 3 เดือนก็ขอลาออกจากการคุมทีมบาเลนเซียโดยให้เหตุผลว่าทางบอร์ดบริหารของสโมสรผิดสัญญาที่ให้ไว้ในการซื้อขายนักเตะและต่อจากนั้นไม่นานเฆซุส การ์เซีย ปิตาร์ช ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสรก็ขอลาออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลว่าเขารู้สึกเหมือนถูกสโมสรใช้ให้เป็นเกราะในการป้องกันการวิจารณ์สโมสรและเขาไม่สามารถที่จะปกป้องในบางสิ่งที่สโมสรไม่ต้องการเปิดเผยต่อสาธารณะ จากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้บาเลนเซียจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 12 และในวันที่ 27 มีนาคมปี 2017 มาเตว อลีมานี่ ก็ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการทั่วไปของสโมสร

ต่อมาได้มีข่าวว่าปีเตอร์ ลิมกำลังดูความเป็นไปได้ในการที่จะขายสโมสรออกไปอย่างไรก็ตามอนีล เมอร์ตี้ประธานสโมสรก็ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวโดยบอกว่าปีเตอร์ ลิมมีความต้องการที่จะเป็นเจ้าของสโมสรบาเลนเซียเป็นระยะเวลานานกว่านี้และจะไม่มีการพิจารณาขายสโมสรนี้ออกไปอย่างแน่นอน โดยปัจจุบันผู้จัดการทีมของบาเลนเซียคือมาร์เซลิโน่นายใหญ่ชาวสเปนอดีตผู้จัดการทีมของบียาร์เรอัล

สนามเหย้า

บาเลนเซียลงเล่นในปีแรกของสโมสรที่สนามอัลกีรอสก่อนที่จะย้ายไปใช้สนามเมสตาย่าสเตเดี้ยมในปี 1923 ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1950 สนามเมสตาย่าสเตเดี้ยมก็มีการปรับปรุงสนามเพื่อเพิ่มความจุให้สามารถรองรับผู้ชมให้ได้ 45,000 คนก่อนที่จะเพิ่มความจุสนามอีกครั้งจนปัจจุบันสามารถรองรับผู้ชมได้มากถึง 49,500 คนนับว่าเป็นสนามฟุตบอลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของประเทศสเปนนอกจากนี้สนามเมสตาย่าสเตเดี้ยมยังขึ้นชื่อในเรื่องของระเบียงที่มีความสูงมากๆและแฟนบอลในสนามยังขึ้นชื่อในเรื่องของการร้องเพลงข่มขวัญคู่ต่อสู้ได้น่ากลัวที่สุดในยุโรป โดยเกมส์นัดแรกของบาเลนเซียในสนามแห่งนี้คือเกมส์อุ่นเครื่องระหว่างบาเลนเซียกับเลบานเต้คู่ปรับร่วมเมืองเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมปี 1923 และเกมส์นัดแรกที่ต้อนรับทีมจากต่างประเทศในสนามเมสตาย่าสเตเดี้ยมคือเกมส์ในรายการยุโรปเมื่อวันที่ 15 กันยายนปี 1961 ซึ่งบาเลนเซียจะต้องเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ทีมจากประเทศอังกฤษ นอกจากนี้สนามเมสตาย่าสเตเดี้ยมแห่งนี้ยังเป็นสนามที่ทีมชาติสเปนใช้เป็นสนามเหย้าเช่นเดียวกันโดยทีมชาติสเปนใช้สนามเมสตาย่าสเตเดี้ยมครั้งแรกในปี 1925 และในตอนที่สเปนได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 1982 สนามแห่งนี้ก็ได้รับเลือกให้เป็นสนามที่จะใช้ในรอบแบ่งกลุ่มนอกจากนี้สนามแห่งนี้ยังถูกใช้ในรายการโอลิมปิกฤดูร้อนเมื่อปี 1992 อีกด้วยซึ่งสนามเมสตาย่านี้ถูกใช้ในการทำการแข่งขันฟุตบอลทุกนัดที่ทีมชาติสเปนลงเล่นยกเว้นเพียงรอบชิงชนะเลิศที่จัดที่สนามคัมป์ นูของบาร์เซโลน่าซึ่งโอลิมปิกครั้งนั้นทีมชาติสเปนสามารถคว้าเหรียญทองมาครองได้หลังจากเอาชนะทีมชาติโปแลนด์ไปได้ในรอบชิงชนะเลิศด้วยสกอร์ 3-2 อย่างไรก็ตามทางบาเลนเซียก็มีแผนที่จะสร้างสนามเหย้าแห่งใหม่ขึ้นมาในฤดูกาล 2008-09 โดยสนามแห่งใหม่นี้จะสามารถรองรับผู้ชมได้มากถึง 75,000 คนโดยมีชื่อว่านูว์ เมสตาย่าสเตเดี้ยมแต่แผนการสร้างสนามแห่งนี้จำเป็นที่จะต้องระงับไว้ชั่วคราวหลังจากที่สโมสรประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคมปี 2011 มานูเอล ยอเรนเต้ประธานสโมสรในขณะนั้นก็ได้ออกมาประกาศว่าหนี้ของสโมสรลดลงจนสามารถที่จะก่อสร้างสนามแห่งใหม่ได้แล้วและสนามนูว์ เมสตาย่าสเตเดี้ยมนี้จะพร้อมใช้งานได้ภายในระยะเวลา 2 ปีแต่โชคร้ายที่สโมสรกลับต้องยุติแผนการนี้อีกครั้งหลังจากที่สโมสรกลับมาประสบปัญหาการเงินอีกครั้งจนกระทั่งเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนปี 2013 บาเลนเซียก็ได้ออกมาประกาศว่าจะทำการแก้ไขแบบในการก่อสร้างสนามนูว์ เมสตาย่าสเตเดี้ยมโดยจะลดความจุของสนามลงเป็น 61,500 คนนอกจากนี้ยังปรับลดที่จอดรถใต้ดินรวมถึงลดขนาดหลังคาของสนามลง อย่างไรก็ตามแผนการสร้างสนามนูว์ เมสตาย่าสเตเดี้ยมก็ยังไม่มีการกำหนดวันสร้างที่ชัดเจนจนถึงปัจจุบัน

มูลนิธิศูนย์ฝึกอบรมของบาเลนเซีย

มูลนิธิศูนย์ฝึกอบรมของบาเลนเซีย

นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2009 บาเลนเซียได้มีมูลนิธิศูนย์ฝึกอบรมของสโมสรซึ่งเป็นสโมสรแห่งแรกในประเทศสเปนที่มีศูนย์ฝึกแบบหลายสาขาวิชาชีพ โดยมูลนิธิศูนย์ฝึกอบรมแห่งนี้นั้นรู้จักกันในนาม “ดิ อะคาเดมี่”(The Academy) ภายในศูนย์ฝึกแห่งนี้จะมีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย,การฝึกอบรมในชั้นเรียนรวมไปถึงการฝึกอบรมออนไลน์ในเรื่องที่เกี่ยวกับกีฬาและฟุตบอล นอกจากนี้บาเลนเซียยังเป็นหนึ่งในไม่กี่สโมสรในประเทศสเปนที่มีการเปิดสอนวิชาการจัดการการกีฬาในระดับปริญญาโทในสาขาการจัดการการกีฬาระหว่างประเทศซึ่งทางบาเลนเซียร่วมมือกับมหาวิทยาลัยคาทอลิคของเมืองบาเลนเซียและในวันครบรอบ 90 ปีในการก่อตั้งสโมสรบาเลนเซีย ศูนย์ฝึกอบรมดิ อะคาเดมี่ก็ได้เปิดหลักสูตรการศึกษาประวัติความเป็นมาของสโมสรบาเลนเซียร่วมกับมหาวิทยาลัยบาเลนเซียซึ่งทำให้บาเลนเซียเป็นสโมสรฟุตบอลแห่งแรกในประเทศสเปนที่มีวิชาเป็นของตัวเองในระดับมหาวิทยาลัย

การมีส่วนร่วมในวงการอื่นๆ
วงการมอเตอร์สปอร์ต

บาเลนเซียเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการให้กับทีมพานาโซนิค โตโยต้า เรซซิ่ง(Panasonic Toyota Racing) ตั้งแต่ปี 2003 จนถึงปี 2008 เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสโมสรกับบริษัทโตโยต้าซึ่งเป็นสปอนเซอร์คาดอกของพวกเขานอกจากนี้บาเลนเซียยังเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมของบริษัทโตโยต้าทุกทีมในรายการแข่งรถซูเปอร์ ฟอร์มูล่าเช่นเดียวกับเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมของบริษัทโตโยต้าในรายการแข่งรถซูเปอร์ จีทีทั้งในการแข่งรุ่นจีที-500และรุ่นจีที-300 ต่อมาในปี 2009 บาเลนเซียก็กลายมาเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการให้กับอดีตทีมแข่งรถรุ่น 250cc อย่างทีมสต็อปแอนด์โก เรซซิ่ง(Stop And Go Racing Team) และต่อมาในปี 2014 ก็เข้ามาเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการให้กับทีมแข่งรถอาสปาร์ เรซซิ่งในรุ่นมอโต้จีพี,มอโต้ 2 และมอโต้ 3

วงการอี-สปอร์ต

วงการอี-สปอร์ต

ในเดือนมิถุนายนปี 2016 บาเลนเซียได้ทำการเปิดแผนกในการดูแลเรื่องอี-สปอร์ตโดยเฉพาะซึ่งมีตัวแทนผู้เล่นจากเกมส์Hearthstone,Rocket League และ League of Legends(LoL) โดยเฉพาะในเกมส์หลังที่บาเลนเซียเข้าร่วมกับทีมเบซิคตัสจากประเทศตุรกี,ซานโตสจากประเทศบราซิล,ชาลเก้ 04 จากประเทศเยอรมนี และปารีส แซงต์ แชร์กแมงจากประเทศฝรั่งเศสในการจัดตั้งลีกเกมส์League of Legendsขึ้นมาโดยพวกเขาได้ประกาศรายชื่อทีมในลีกเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมปี 2013 ซึ่งผู้เล่นส่วนใหญ่นั้นเป็นคนประเทศสเปนซึ่งหลายๆคนก็มีประสบการณ์จากการแข่งขันเกมส์League of Legendsในระดับยุโรปมาก่อน

ความสำเร็จของสโมสร (ข้อมูลถึงเดือนมกราคม ปี 2019)
ระดับภายในประเทศ
แชมป์ลีก
-ลา ลีกา (6 สมัย)
1941-42,1943-44,1946-47,1970-71,2001-02,2003-04
-เซกุนด้า ลีก หรือ ดิวิชั่น 2 (2 สมัย)
1930-31,1986-87
แชมป์รายการถ้วย
-โกปา เดล เรย์ (7 สมัย)
1941-42,1948-49,1954-55,1966-67,1978-79,1998-99,2007-08
-สแปนิช ซูเปอร์ คัพ (1 สมัย)
1999
-โกปา เอบา ดัวร์เต (1 สมัย)
1949

ระดับยุโรป
ยูฟ่า คัพ (1 สมัย)
2003-04
ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ (1 สมัย)
1979-80
อินเตอร์ ซิตี้ส์ แฟร์ส คัพ (2 สมัย)
1961-62,1962-63
ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ (2 สมัย)
1980,2004
ยูฟ่า อินเตอร์โตโต้ คัพ (1 สมัย)
1998