ชีวิตที่ดราม่าราวกับซีรีย์เกาหลีของ “ฟรองค์ ริเบรี่” ปีกเทพแห่งทัพตราไก่

แผลเป็นที่ทำให้เขากลายเป็นตำนาน

แผลเป็นที่ทำให้เขากลายเป็นตำนาน

เรามีโอกาสได้เห็นการเฉลิมฉลองเวลาทีมได้แชมป์ของ ริเบรี่ มาก็นับครั้งไม่ถ้วน และตอนนี้เขาก็เป็นตำนานของบุนเดสลีกาไปแล้วด้วย ในฐานะปีกจอมลีลาที่มีสถิติการยิงและแอสซิสต์ที่ทำได้เป็นกอบเป็นกำ และแน่นอนว่าเขาเป็นตำนานของบาเยิร์นอย่างแท้จริง มีโอกาสร่วมงานกับตำนานนักเตะผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ฟิลิปป์ ลาห์ม, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, โอลิเวอร์ คาห์น และเมห์เม็ต โชลล์ ได้แชมป์บุนเดสลีกาก็หลายสมัย มันคือสวรรค์ของเขาอย่างแท้จริงแต่ว่าเมื่อเราลองมองลึกไปนั้น กว่าที่ริเบรี่จะมาถึงจุดนี้ได้ เขาก็ต้องเริ่มต้นชีวิตในวัยเด็กที่ยากลำบากมาพอสมควรเลยทีเดียว กว่าจะกลายเป็นซูเปอร์สตาร์อย่างที่เขาเป็นอยู่ในปัจจุบันตอนที่เขาอายุเพียงสองขวบ เขาโชคดีที่สามารถรอดชีวิตมาได้ เมื่อรถบรรทุกคันโต ได้พุ่งเข้ามาชนกับรถที่ครอบครัวของเขานั่งอยู่ และริเบรี่ก็บาดแผลฉกรรจ์บนใบหน้ามาตั้งแต่วันนั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกเด็กคนอื่นล้อเลียนอย่างหนักแต่อดีตเพลย์เมกเกอร์ทีมชาติฝรั่งเศส มักจะพูดเสมอว่าประสบการณ์ดังกล่าวช่วยให้เขาพัฒนาความคิด พัฒนาความแข็งแกร่งทางจิตใจได้“มันทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้นสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของผมในภายหลัง” ริเบรี่ กล่าวกับ SportBild

เมื่อชีวิตมันไม่ได้มีอะไรโรยด้วยกลีบกุหลาบ

ริเบรี่ โดนปล่อยตัวออกจากทีมเยาวชน ลีลล์ เมื่อตอนอายุ 16 ปี และหลังจากนั้นเขาก็พยายามดิ้นรนเพื่อหาต้นสังกัดใหม่ให้ได้โดยเร็ว โดยในขณะนั้น เขาไปเล่นให้กับทีมท้องถิ่น US โบลองก์ ในลีกระดับล่างของฝรั่งเศส และจากนั้นเขาก็ย้ายไปทางใต้เพื่อเข้าร่วมทีม โอลิมปิก อาเลส ในปี 2002 แต่หลังจากนั้นไม่นาน สโมสรก็ล้มละลาย จากนั้น ริเบรี่ ก็ยังไม่ยอมแพ้ และเขาก็ได้ทดสอบฝีเท้ากับ แก็งก็อง และกับทีมอื่น ๆ อีกมากมาย แต่หลังจากลองผิดลองถูกกับทีมหลายแห่ง เขาก็ต้องหยุด เพื่อไปทำงานกับพ่อของเขาเป็นเวลาสองสามเดือน “ในฐานะคนงานก่อสร้าง”เขามองว่าช่วงเวลานั้น มันเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมมาก มันทำให้เขามีความมุ่งมั่นมากขึ้นที่จะเป็นผู้เล่นมืออาชีพ“ผมเข้าใจดีว่างานที่พ่อผมทำนั้นมันยากลำบากแค่ไหน” ริเบรี่บอกกับนักข่าวชาวฝรั่งเศส โดยเขาพูดถึงเรื่องนี้ลงไปในหนังสือของเขา “Franck Ribery, l’Incompris” ด้วยเช่นกัน“ผมเข้าใจได้เลยล่ะว่างานนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อผม ผมต้องประสบความสำเร็จในวงการฟุตบอลให้ได้”

การท้าทายโชคชะตา

การท้าทายโชคชะตา

โชคชะตาของ ริเบรี่ เริ่มเปลี่ยนไปในปี 2003 เมื่อ ฟิลิปเป้ กูร์ซัต ผู้จัดการทีมเบรสต์ ได้เสนอโอกาสให้เขาพิสูจน์ตัวเองที่สโมสรระดับสามของลีกฝรั่งเศส โดยเขาหวังว่าจะสามารถพาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกเอิง 2 ได้“เด็กคนนี้มีความสามารถในการเล่นในลีกเอิง 2 และเขาจะสามารถเค้นฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมในการเล่นให้กับที่นี่ได้แน่นอน” กูร์ซัต ได้กล่าวในเวลานั้น “คุณจะเห็นว่าเขาเลี้ยงบอลได้เร็วมาก”มีรายงานว่าการเซ็นสัญญาครั้งนั้นของ ริเบรี่ เขาได้รับการเสนอค่าจ้างเพียง 250 ยูโรต่อเดือน และในอีกหลายปีต่อมา กูร์ซัต ก็ได้ยอมรับว่าค่าเหนื่อยของผู้เล่นรายนี้ น้อยเกินไปจริงๆ“ตอนนั้นสโมสรมองว่ามีโอกาส99เปอร์เซ็นต์ที่ ริเบรี่ จะล้มเหลวและมีโอกาสร้อยละหนึ่งที่เขาจะทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จ” กูร์ซัต ได้กล่าวกับ Menugeแต่สุดท้าย ริเบรี่ ก็ช่วยให้ทีม เบรสต์ ได้รับการเลื่อนชั้น และเขาก็ได้รับโอกาสในการย้ายไปอยู่กับทีม เมตซ์ เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล และเมตซ์ คือทีมระดับลีกสูงสุดด้วย

เตรียมตัวสู่การเป็นแข้งที่ยิ่งใหญ่

ริเบรี่ลงสนามให้เมตซ์อยู่ 6 เดือน และต่อมาเขาก็เดินทางไปตุรกี เพื่อเล่นให้กับ กาลาตาซาราย และฝีเท้าของเขาก็พัฒนาขึ้นมาจนทำให้เขาได้รับฉายาว่า “เฟอร์รารี่” และในขณะนั้น เขาก็ได้แชมป์แรกในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ ริเบรี่ยิงประตูได้ในเกมตุรกีคัพ รอบชิงชนะเลิศ 2004-05 โดยกาลาตาซาราย สามารถเอาชนะทีมคู่แค้นร่วมดินแดนอิสตันบูลอย่าง เฟเนร์บาห์เช่ ไปแบบขาดลอย 5-1

ระเบิดฟอร์มให้ฝรั่งเศสในเยอรมนี

ระเบิดฟอร์มให้ฝรั่งเศสในเยอรมนี

ฌอง เฟอร์นันเดซ โค้ชเก่าของริเบรี่ที่สโมสร เมตซ์ ได้เซ็นสัญญากับเขาอีกครั้ง โดยหนนี้เป็นการดึงตัวเขามาเล่นที่ โอลิมปิก มาร์กเซย ในเดือนมิถุนายนปี 2005 และฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงของปีกหมายเลข 7 นั้นก็ดีเพียงพอสำหรับการจะทำให้เขาคว้าตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติฝรั่งเศสชุดใหญ่ เพื่อไปเล่นฟุตบอลโลก 2006ในทัวร์นาเมนต์ที่จัดขึ้นในเยอรมนี เขาทำประตูตีเสมอใส่ทีมชาติสเปนได้ และฝรั่งเศสก็พลิกเอาชนะไป 3-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายก่อนที่ ฝรั่งเศสจะเข้าป้ายรองแชมป์โลกซีเนอดีน ซีดาน กุนซือทีมเรอัล มาดริด คนปัจจุบัน เป็นอดีตเพื่อนร่วมทีมชาติฝรั่งเศสในเวลานั้นของริเบรี่ ได้กล่าวว่าริเบรี่เป็น “อัญมณี” ชิ้นใหม่ของทีมชาติฝรั่งเศสเลยทีเดียว และในอีก 1 ปีต่อมา ริเบรี่ ก็ได้ย้ายไปสร้างตำนานที่บาเยิร์น มิวนิค ในที่สุด