ย้อนรอยประวัติความเป็นมาของสโมสรฟุตบอล ชาลเก้ 04 (Schalke 04)

ชาลเก้ 04

ชาลเก้ 04 หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ Fußball-Club Gelsenkirchen-Schalke 04 สโมสรในตำนานที่ก่อตั้งมานานถึง 115 ปี เจ้าของฉายา ราชันสีน้ำเงิน ทีมฟุตบอลที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์มากมายของวงการฟุตบอลเยอรมันและยังเป็นทีมที่มีแฟนบอลมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก และเป็นทีมอันดับ 2 ของประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสโมสรทั้งหมด จุดเริ่มต้นของ ชาลเก้ 04 เดิมที่เป็นทีมฟุตบอลที่ถูกสร้างขึ้นจากกลุ่มนักเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในวันที่ 4 พฤษภาคม 1990 ที่ตั้งอยู่ในเมือง เกลเซนเคียร์เช่น รัฐนอร์ทไรน์-เวสต์ฟาเลีย เดิมที่ใช้ชื่อเรียกสโมสรในตอนนั้นว่า Westfalia Schalke มีชุดแข่งที่เป็นสีแดงคาดเหลืองและเป็นเพียงทีมฟุตบอลขนาดเล็กที่ยังไม่ได้ลงแข่งในระดับภูมิภาคหรือว่าบอลอาชีพวกเขาลงเล่นแค่ในลีกท้องถิ่นเท่านั้น ในปี 1912 ด้วยความกระตือรือล้นและความพยายามในการที่จะไปให้ถึงฝั่งฝันพวกเขาจึงรวมตัวกับสโมสรยิมนาสติก Schalker Turnverein 1877 เพื่อยกระดับมาตราฐานของทีมให้ใหญ่และพัฒนาให้มากขึ้นกว่าเดิมแต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะไม่ค่อยราบลื่นสักเท่าไหร่ภายในไม่กี่ปีทางฝั่งของ Westfalia Schalke ก็ถอนตัวออกมายืนเดี่ยวและพัฒนาทีมกันต่อจนกระทั่งในช่วงปี 1919 ในที่สุดพวกเขาก็หันหน้ามาเจรจากันอีกครั้งและทำข้อตกลงวางเป้าหมายให้ไปในแนวทางเดียวกันจนกลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งและใช้ชื่อภายใต้กันจับมือกันว่า Turn- und Sportverein Schalke 1877 หลังจากนั้นไม่นานในฤดูกาล 1923 พวกเขาก็ช่วยกันสร้างชื่อให้กับทีมได้สำเร็จโดยการคว้าแชมป์รายการ Schalke Kreisliga ซึ่งอาจจะไม่ใช่รายการใหญ่อะไรแต่ก็เป็นความสำเร็จแรกที่นำไปสู่ความสำเร็จใจครั้งต่อๆไปของพวกเขา อีกทั้งยังได้รับขนาดฉายาว่า “Die Knappen (The Miners)” เนื่องจากผลงานที่ไปสะดุดตาผู้สนับสนุนส่วนใหญ่ที่ทำงานเป็นคนงานในเหมืองถ่านหินย่านเซนเคียร์เซ่น หนึ่งปีต่อมาการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่พวกเขาตัดสินใจแยกส่วนระหว่างฟุตบอลกับยิมนาสติกออกจากกันแต่ว่ายังมีประธานสโมสรเป็นคนเดิมที่ทำหน้าที่พร้อมทั้งสถาปณาชื่อทีมใหม่เป็น FC Schalke 04 และเปลี่ยนสีเสือสโมสรใหม่โดยใช้เป็นสี น้ำเงิน-ขาว รวมไปถึงฉายาใหม่อย่าง The Royal Blue หรือแปลเป็นไทยก็คือ ราชันสีน้ำเงิน และถูกบันทึกชื่อฉายาใช้มาจนถึงยุคปัจจุบัน พวกเขาเริ่มยกระดับทีมได้ดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับและใช้เพียงเวลาไม่นานสโมสรก็ขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของลีกภูมิภาคพร้อมที่จะยกระดับเลื่อนชั้นขึ้นสู่เวทีลีกชั้นนำระดับประเทศ ในปี 1928 พวกเขาสร้างสนามฟุตบอลใหม่โดยใช่ชื่อว่า Glückauf-Kampfbahn ไมรู้ว่าพี่แกติดปัญหาอะไรเรื่องชื่อของสโมสรในที่สุดก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อสโมสรเดิมที่เคยใช้ไปว่า FC Gelsenkirchen-Schalke 04 หลังจากที่พวกเขาสร้างสนามเสร็จได้ไม่นานในช่วงฤดูกาล 1928 พวกเขาประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์บอลถ้วยของฝั่งเยอรมันตะวันตก แต่กลับถูกสมาคมฟุตบอลของเยอรมันแบนห้ามลงการแข่งขันเกือบครึ่งปีเนื่องจากว่าพวกเขาใช้เงินในการจ่ายค่าแรงให้กับนักเตะสูงเกินไปกว่าที่ทาง เดเอฟเบ ตั้งกฎเอาไว้แต่ด้วยความที่ ราชันสีน้ำเงิน มีแฟนบอลจำนวนมากและตั้งอยู่ในรัฐที่มีความเจริญแล้วการสัญจรไปมาและการเข้ามาชมเกมก็มีเยอะหลังจากที่หมดโทษแบนในช่วงเดือน มิถุนายน 1931 เกมแรกที่ลงสนามไปมีผประชาชนที่เข้ามาร่วมเชียร์พวกเขามากมายถึง 70,000 คน ความฮ็อทของทีมอยู่ในช่วงยุด 1931-40 ในช่วงปี 1932 ทีมกำลังคึกคะนองทะลุเข้ารอบไปจนถึงนัดชิงรายการ เยอรมัน แชมเปี้ยนส์ คัพ แต่ว่าดันพลาดท่าแพ้ให้กับสโมสร ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟริต ไปสะก่อนแต่พวกเขายังไม่ย่อท้อต่อการคว้าแชมป์ในระดับประเทศ ชาลเก้ มีความพยามยามสูงมากในการขึ้นหน้าประวัติศาสตร์ในปีต่อมาพวกเขาได้เข้าชิงฟุตบอลรายการเดิมอีกครั้งแต่ก็แพ้ให้กับ ฟอร์ทูน่า ดุสเซลลดอร์ฟ ไปอย่างยับเยินด้วยสกอร์ 3-0 ต่อมาในปี คศ. 1934 หลังจากที่มีการปฏิรูปโครงสร้างในการแข่งขันใหม่ ชาลเก้ ถูกโยกเข้าไปเล่นในรายการ Gauliga Westfalen เป็น 1 ใน 16 ลีกที่ใหญ่ที่สุดระดับภูมิภาค และได้สร้างพัฒนาความความยิ่งใหญ่พร้อมกับยกระดับทีมให้มีความน่าเกรงขามมากยิ่งขึ่นในฤดูกาลเดียวกันพวกเขาสามารถรักษาสถิติไร้พ่ายเกมในบ้านไปได้ถึง 11 ฤดูกาลติดต่อกันดูเหมือนว่าเกมในบ้านจะไม่มีใครที่จะสามารถโค่นล้มพวกเขาได้เลย และในฤดูการ 1934 ชาลเก้ ยังประกาศกร้าวด้วยการขึ้นเป็นแชมป์ระดับประเทศได้สำเร็จโดยนัดชิงชนะเลิศพวกเขาเอาชนะ เนิร์นแบร์ก ไป 2-1 และปีต่อมาพวกเขาก็สามารถป้องกันแชมป์ได้อีกหนึ่งสมัยจากการดวลนัดชิงกับทางฝั่งของ สตุ๊ตการ์ท และได้สิทธ์ผ่านเข้าไปเล่นในรายการ Tschammer-Pokal หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า เดเอฟเบ โพคาล ฟุตบอลถ้วยเก่าแก่ของประเทศเยอรมนี ในการแข่งขันฟุตบอลลีกในซีซั่น 1936 พวกเขาสร้างสถิติไร้พ่ายมาได้ตลอดในรายการ Gauliga Westfalen และเข้าชิงชนะเลิศบอลถ้วยเยอรมันคัพรายการเดิมแต่เป็นได้แค่รองแชมป์เท่านั้น ในฤดูกาลต่อมา 1937 ราชันสีน้ำเงิน ผงาดคว้าแชมป์สูงสุดระดับประเทศได้เป็นหนที่ 3 ด้วยความขับแค้นใจที่เดินทางมาเจอกับทาง เนิร์นแบร์ก อีกครั้งแต่เป็น ชาลเก้04 ที่ล้างแค้นได้สำเร็จเอาชนะไปได้ 2-0 แถมเกมลีกระดับภูมิภาคพวกเขายังไม่แพ้ใครเลยบวกกับการเป็นทีมแรกในที่เก็บ 2 แชมป์หรือดับเบิ้ลแชมป์ได้เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองเบียร์ 3-4 ฤดูกาลต่อมา ราชันสีน้ำเงิน ยังคงเดินหน้าคว้าชัยและเก็บสถิติไร้พ่ายมาได้อย่างต่อเนื่องเรียกได้ว่าเป็นปีที่ร้อนแรงมากๆของพวกเขาตั้งแต่ คศ. 1937 พวกเขาไล่เบียดแย่งแชมป์ลีกระดับภมิภาคมาได้อยู่หลายฤดูกาลจนสุดท้ายก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงระบบรูปแบบเกมลีกเป็น บุนเดสลีก้า เยอรมัน เจ้าของ ฉายา ราชันสีน้ำเงิน คว้าแชมป์ เยอรมัน แชมป์เปี้ยนชิพ ไปได้ทั้งสิ้น 7 สมัยสิ้นสุดในปี 1958 ในวันและเวลาที่วงการลูกหนังชื่อของพวกเขาถูกจารึกไว้ในหน้าหนังสือยังไม่พอ ขณะที่มีการบูรณะสร้างโบสต์ เซนต์ โยเซฟ ในย่านตัวเมือง เกลเซนเคียร์เซ่น ด้วยฐานของแฟนบอลที่มีอยู่มากมายปรากฎว่ามีการจารึกภาพนักบุญ อลอยซิอุส กอนซาก้า ในมือถือลูกฟุตบอลพร้อมกับสวมชุดแต่งกายเป็นสีน้ำเงิน-ขาว บ่งบอกให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ว่าจะศาสนาหรือกีฬาฟุตบอลพวกเขายกย่องทั้งสองสิ่งคือศูนย์รวมของความรัก ความสามัคคี ที่มีร่วมกันของคนในเมือง

เส้นทางของ ราชันสีน้ำเงิน หลังจาการเปลี่ยนแปลงเป็นศึก บุนเดสลีก้า

ในปี คส. 1936 เป็นปีสุดท้ายก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการแข่งขันเกมลีกใหม่ ชาลเก้ จบลีกระดับภูมิภาคเดิมในอันดับที่ 6 แต่ก็ยังติดอยู่ใน 1 ของ 16 ทีมที่จะได้มาเล่นใน บุนเดสลีก้า ต่อมาการเปิดตัวในลีกใหม่เริ่มขึ้นในปี 1964 ซึ่งฤดูการแรกของพวกเขาสามารถจบอยู่ในอันดับที่ 8 ยังคงได้เล่นอยู่ในลีกต่อไป ส่วนปีถัดมาพวกเขาเกือบจะล่วงชั้นลงไปแต่ก็ยังรอดมาได้ บวกกับความโชคดีที่ทางสมาคมฟุตบอลเยอรมันมีการขยายเพิ่มอีก 2 สโมสรในศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน ทำให้พวกเขายังคงลงแข่งอยู่ในลีกสูงสุดของเยอรมันต่อไป ข้ามไปที่เหตุการณ์สำคัญในช่วงฤดูกาล 1971 ระหว่างที่มีการตรวจสอบการทุจริตของสโมสรในระดับบุนเดสลีกา ชาลเก้ คือ 1 ในทีมที่มีการทุจริต มีการล็อคผลการแข่งขันจากการที่พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับ อาร์เมเนีย บีเลเฟลด์ ไป 1-0 ในวันที่ 17 เมษายน ทำให้สมาชิกนักเตะในทีม 13 รายโดนแบนตลอดชีวิต ปรากฎว่าภายหลังมีการเปลี่ยนกฎลดหย่อนโทษให้เหลือเพียง 6 เดือนถึง 2 ปี หลังจากวิกฤติทีมที่ถาถมเข้ามาอย่างหนักในที่สุด ราชันสีน้ำเงิน ก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ เพียงแค่ฤดูกาลหลังจากที่ทีมโดนกล่าวโทษไปพวกเขากับมาจบที่อันดับ 2 รองจาก เอฟซี บาเยิร์น มิวนิค ในหน้าตาราง Bundesliga ไม่พอพวกเขายังรักษาบาดแผลใจให้กับแฟนบอลด้วยการเอาชัยในรายการ เดเอฟเบ โพคาล มาครองได้อีกสมัยโดยชิงชัยกับทาง ไกเซอร์สเลาเทิร์น เป็นการเอาชนะไปอย่างขาดลอย ชาลเก้ สอยประตูชัยไปได้ถึง 5-0 เหตุการณ์ต่อมาในปี 1973 หลังจากที่ทีมประกาศชัยครั้งยิ่งใหญ่พวกเขาก็ย้ายสนามเหย้าใหม่ไปที่ พาร์คสตาดิโอน ซึ่งเป็นจะเป็นสนามที่ใช้ในการทำการแข่งขันฟุตบอลโลก 1974 ที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพ ให้หลังจากนั้น 3 ฤดูกาลไม่ได้มีเหตุการณ์สำคัญอะไรจึงข้ามไปในปี 1977 ผลงานยังคงทำออกมาได้ดีโดยในปีนี้พวกเขามาไกลเป็นรองแชมป์ในรายการฟุตบอลลีกได้ต่อมา ชาลเก้ ยังคงวนเวียนอยู่ในตารางลีกสูงสุดมาเรื่อยๆและไม่ได้แชมป์อะไรเลยจนกระทั่งสิ้นสุดฤดูกาล 1980-81 พวกเขาต้องทำให้แฟนบอลผิดหวังหลังจากทีมทำผลงานได้ไม่ดีจนต้องล่วงตกชั้นลงไปในอันดับรองบ๊วย แต่หลังจากที่ล่วงชั้นไปไม่นานพวกเขาก็ตีตั๋วขึ้นยานกลับมาเล่นในฟุตบอลลีกสูงสุดได้อย่างรวดเร็วแต่ก็อย่างว่ามาเร็วไปเร็วในฤดูกาลต่อมาพวกเขาก็ต้องตกชั้นไปอีกครั้งและก็สลับมาอีกปีต่อมาก็สามารถคืนสู่สังเวียนบุนเดสลีก้าได้เหมือนเช่นเคยเป็น 2-3 ฤดูกาลที่ผลงานของพวกเขายังคงขึ้นๆลงไม่มีความแน่นอนแถมดูจากสถานการณ์การฟอร์มทีมแล้วจัดว่าเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ของพวกเขาเลยก็ว่าได้ไม่นาน 4 ปีให้หลังพวกเขาต้องล่วงตกชั้นไปอีกครั้งในปี คส.1988 แถมกว่าพวกเขาจะคืนสู่ลีกสูงสุดได้ต้องใช้เวลานานถึง 3 ปีถึงได้กลับมามีชื่อในศึกฟุตบอล บุนเดสลีก้า อีกครั้ง ข้ามมาในฤดูกาล 1997 ในที่สุด ราชันสีน้ำเงิน ก็สามารถคว้ารางวัลฟุตบอลถ้วยรายการใหญ่ได้อีกครั้งนั้นถ้วยแชมป์ฟุตบอล ยูฟ่า คัพ นับมาจนถึงครั้งนี้ที่พวกเขาเคยได้แชมป์บอลถ้วยปรากฎว่าผ่านมานานถึง 25 ปีที่ได้สัมผัสแชมป์ฟุตบอลถ้วยอีกครั้ง โดยศึกชิงชนะเลิศในครั้งนี้เป็นการดวลกกับ อินเตอร์ มิลาน ยอดทีมจากศึกลูกหนัง กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี โดยที่ต้องวัดกันที่การดวลจุดโทษและเป็น ชาลเก้ ที่เกี่ยวชัยชนะไปได้ ในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวที่ทำให้พวกเขาได้รางวัลเป็นถ้วยแชมป์ฟุตบอลยุโรปมาครองนั้นมาจากสไตล์การเล่นที่ดุดัน เปิดเกมบุกสู้ไม่ถอยแถมยังมีการเน้นเกมรับที่เหนียวแน่นทั้งหมดมาจากแผนการทำทีมของ สตีเฟ่นส์ จนทำให้พวกเขาถูกตั้งฉายาว่า “ยูโร ไฟท์เตอร์ (Euro Fighters)” ในฤดูกาล 2001 พวกเขาเกือบคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกได้อีกครั้งแต่ดันพลาดพลั้งเสียแชมป์ให้กับทาง บาเยิร์น ไปด้วยคะแนนที่ตามหลังเพียงแค่ 1 คะแนนเท่านั้นช่างเป็นความเจ็บใจที่หาคำอธิบายไม่ได้เลย แต่ยังดีทีทีมมาได้รางวัลบอลถ้วย เดเอฟเบ โพคาล เพื่อเอาไปปลอบใจแฟนบอลนับเป็นครั้งที่ 3 สำหรับรายการ บอลถ้วย เยอรมัน คัพ ที่พวกเขาได้มา ต่อมาในฤดูกาล 2002 ราชันสีน้ำเงิน สามารถครองแชมป์ เดเอฟเบ ได้เพิ่มมาอีกหนึ่งสมัยแถมยังเป็นการป้องกันแชมป์รวมเป็นสมัยที่ 4 สำหรับฟุตบอลถ้วยรายการนี้พร้อมกันนั้นหลังสิ้นฤดูกาล สตีเฟ่นส์ ก็ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม โดยที่ปีต่อมาได้ ราล์ฟ รักนิก มาทำหน้าที่เป็นกุนซือแทนโดยเขาเป็นกุนซือคนที่ 5 ของสโมสรในตำนานแห่งนี้ ในฤดูกาล 2005 ราล์ฟ รักนิก สามารถพา ชาลเก้ ทะยานขึ้นไปติดอยู่อันดับ 2 ของตารางได้แต่ไม่ได้เข้าใกล้คำว่าแชมป์สักนิดเพราะมีคะแนนตามห่าง บาเยิร์น ที่เป็นจ่าฝูงอยู่ถึง 14 แต้มด้วยกัน หลังจากนั้นในฤดูกาลถัดมาพวกเขาได้โควต้าไปลุยศึกฟุตบอลถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ก็ตกรอบแบ่งกลุ่มทำให้ล่วงลงมาเตะเพลย์ออฟในรายการ ยูโรป้า แทนและพวกเขาผ่านทะลุเข้ารอบไปถึงนัดตัดเชือกและพลาดท่าแพ้ให้กับ เซบีย่า ไป เหตุการณ์ที่สำคัญต่อมา สโมสรได้มีผู้สนับสนุนรายใหม่เข้ามาซัพพอร์ตทีมคือบริษัทน้ำมันจากรัสเซีย Gazprom พวกเขาเข้ามาเป็นสปอร์นเซอร์รายใหม่ให้กับทีมอีกทั้งยังทุ่มเงินลงทุนในการพัฒนาทีมอีก 125 ล้านยูโรตลอดสัญญา 5 ปีครึ่ง แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่พวกเขากำหนด คือต้องยอมจับมือเป็นสโมสรพันธมิตรกับ เซนิต เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ยอดทีมจาก รัสเซีย พรีเมียร์ลีก โดยผลงานของ ราชันสีน้ำเงิน ยังคงมั่นคงมาเรื่อยๆแต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อความสำเร็จที่พวกเขาตั้งเป้าเอาไว้นั้นก็คือการคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกมาครองให้ได้และไต่ไปคว้าถ้วยใหญ่ยุโรปให้ได้สักครั้ง หลังจากนั้นเหตุการณ์ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมีการโยกย้ายของกุนซือใหม่ๆเก่าๆเข้ามาสลับกันมาเรื่อยๆ จนในปี 2011 ชาลเก้ ได้แชมป์รายการ เดเอฟเบ โพคาล เป็นสมัยที่ 5 ต่อมาการยกระดับของ ชาลเก้ ก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆทำให้ทีมสามารถเกาะอันดับหัวตารางได้เกือบจะทุกปี ตีตั๋วไปลุ้นศึกฟุตบอลยุโรปมาต่อเนื่องแต่ก็ยังไม่เข้าใกล้คำว่าแชมป์ตั้งแต่นั้นจนถึงปัจจุบัน ชาลเก้ ก็ยังคงต้องเร่งเครื่องเพื่อไล่ล่าหาความสำเร็จต่อไปแต่ถึงยังไงพวกเขาก็ยังคงเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่อันดับ 2 ของเยอรมัน คงไม่นานแฟนบอลของ ราชันสีน้ำเงิน คงได้เห็นถ้วยแชมป์รายการใหญ่ที่รอคอยอย่างแน่นอน

สรุปรายการความสำเร็จของ ชาลเก้ 04 ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน

สรุปรายการความสำเร็จของ ชาลเก้ 04

แชมป์ฟุตบอล บุนเดสลีก้า เยอรมัน

ชนะเลิศ (7): 1934, 1935, 1937, 1939, 1940, 1942, 1958

รองชนะเลิศ (10): 1933, 1938, 1941, 1971–72, 1976–77, 2000–01, 2004–05, 2006–07, 2009–10, 2017–18
ซไวเทอบุนเดสลีก้า

ชนะเลิศ (3): 1981–82, 1990–91

รองชนะเลิศ (1): 1983–84
เดเอฟเบ โพคาล

ชนะเลิศ (5): 1937, 1971–72, 2000–01, 2001–02, 2010–11

รองชนะเลิศ (7): 1935, 1936, 1941, 1942, 1954–55, 1968–69, 2004–05

เดเอฟเบ ลีกา โพคาล

ชนะเลิศ (1): 2005

รองชนะเลิศ (3): 2001, 2002, 2007

เดเอฟเอ็ล ซุปเปอร์คัพ

ชนะเลิศ (1): 2011

รองชนะเลิศ (1): 1941 (unofficial), 2010

ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

รอบรองชนะเลิศ (1): 2010–11

ฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก

ชนะเลิศ (1): 1996–97

ยูฟ่า อินเตอร์โตโต่ คัพ

ชนะเลิศ (2): 2003, 2004

สรุปง่ายๆให้เข้าใจกันเลยก็คือ ชาลเก้ หรือ ราชันสีน้ำเงิน เคยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดแต่เป็นยุคเดิมที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็น บุนเดสลีก้า เยอรมัน อยู่ 7 สมัย และเป็นแชมป์ฟุตบอลถ้วย เดเอฟเบ โพคาล มาแล้ว 5 สมัย เดเอฟแอล ซุปเปอร์คัพ 1 สมัย และบอลถ้วยยุโรป ยูฟ่า คัพ หรือ (ยูโรป้า ลีก ในปัจจุบัน) มาแล้ว 1 สมัย ประวัติศาสตร์ของเยอรมันจารึกเอาไว้ว่า ชาลเก้ เป็นสโมสรแรกของเยอรมันที่คว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้เป็นทีมแรก เป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับที่สองของเยอรมันและมีอันดับที่ 4 ของยุโรปหรือโลกเลยก็ว่าได้นอกจากนั้นพวกเขายังมีกีฬาประเภทอื่นที่อยู่ภายใต้การดูและของชื่อ ชาลเก้ 04 ไม่ว่าจะเป็น กรีฑา บาสเก็ตบอล แฮนด์บอล ปิงปอง หรือแม้กระทั้งกีฬาอีสปอร์ต ช่วงยุค 1930-40 จัดว่าเป็นยุครุ่งเรื่องที่สุดของสโมสร พวกเขามีแฟนคลับอย่างเป็นทางการมากถึง 155,000 คน มีสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ที่จุคนดูได้มากถึง 62,271 ที่นั่ง และเป็นสโมสรที่รายการจากการดำเนินงาน (operating income) มากที่สุดเป็นอันดับที่ 7 ของโลก สโมสรได้ผลกำไรมากถึง 48 ล้านยูโรและหนี้ 0% ซึ่งอัพเดตข้อมูลไปล่าสุดในปี 2014 ช่วงเดือนสิงหาคม และเป็นสโมสรที่สร้างรายได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 14 ของโลกจากรายรับ 198 ล้านยูโร และมีการประเมิณมูลค่าสโมสรจากนิตยาสาร ฟอร์บส์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2014 ว่า ชาลเก้ มีค่าประมูลมากถึง 446 ล้านยูโร อยู่อันดับที่ 14 ของโลก และนี่ก็เป็นเพียงข้อมูลประวัติของสโมสรที่เป็นตำนานมายาวนานอีกหนึ่งสโมสรของประเทศเยอรมนี หวังว่าคงจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านอยู่บ้างไม่มากก็น้อย หากผิดพลาดประกันใดต้องขออภัยมาใน ณ ที่นี้

ชื่อสโมสร : ชาลเก้ 04 (Schalke 04)

ฉายาสโมสร : ราชันสีน้ำเงิน

สนามเหย้า : เฟลตินส์-อารีน่า (ความจุ 62,271 ที่นั่ง)

ก่อตั้ง : 4 พฤษภาคม 1904

กุนซือคนปัจจุบัน(2020) : ดาวิด วากเนอร์

Schalke 04